บทความที่ได้รับความนิยม

‘ข้าวซอย-น้ำเงี้ยว’มีสูตรเด็ดขายที่ไหนก็รวย

“ช่วงนี้นักท่องเที่ยวจะนิยมขึ้นเหนือไปสัมผัสอากาศหนาว และหลายคนก็จะถือโอกาส รับประทานอาหารประจำถิ่นอย่าง “ข้าวซอย” ให้จุใจ อย่างไรก็ตาม ข้าวซอยนี่ไม่จำเป็นว่าจะต้องขายอยู่ทางเหนือเท่านั้น ขอเพียงมีสูตรเด็ดเคล็ดอร่อย ก็ทำขายในพื้นที่ภาคอื่น ๆ ได้ อย่างที่ทีม “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอในวันนี้...

ภัคพงศ์ พึ่งกัน ปัจจุบันเปิดร้านอาหารชื่อ “รสมือแม่” อยู่ในกรุงเทพฯ เจ้าตัวบอกว่า เดิมเคยเปิดร้านขายอาหารเหนืออยู่ที่เชียงใหม่ ภายหลังต้องหยุดเพราะเข้ามาทำงานเป็นสัตวแพทย์อยู่ในกรุงเทพฯ พอมาอยู่ที่กรุงเทพฯก็เห็นว่าอาหารเหนือนั้นหากินยาก จึงคิดจะเปิดร้านขายอาหารเหนือ และได้ขอให้คุณแม่ซึ่งมีประสบการณ์ในการทำอาหารเหนือมานานลงมาอยู่ที่กรุงเทพฯ เพื่อช่วยในเรื่องนี้

ร้านอาหารเหนือที่เปิดใหม่นี้ก็ใช้ชื่อร้านว่า “รสมือแม่” ซึ่งเป็นชื่อเดิมที่เคยเปิดอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ จะเน้นให้คนกรุงเทพฯได้รู้ถึงรสชาติของอาหารเหนือที่แท้จริง และให้คนที่ชอบได้กินกันบ่อยขึ้น ที่สำคัญอาหารที่ร้านนี้ทุกเมนูจะไม่ใส่ผงชูรส โดยที่ร้านจะมีสโลแกนว่า “พ่อแม่ใส่ใจแทนการใส่ผงชูรส”

สำหรับอาหารเหนือที่ขึ้นชื่ออย่าง “ข้าวซอย” และ “น้ำเงี้ยว” เป็นเมนูที่ทำไม่ยาก แต่อาจจะมีขั้นตอนการทำที่เยอะหน่อย ซึ่งความอร่อยนั้นอยู่ที่ “พริกแกง” เพราะฉะนั้นพริกแกงที่ร้านนี้ใช้ทำทั้งสองเมนู จะทำขึ้นเอง ไม่ซื้อสำเร็จรูป และที่สำคัญข้าวซอยและน้ำเงี้ยวจะต้องทำใหม่ ๆ ทุกวัน จะทำพอดีขายวันต่อวัน

วัตถุดิบที่ใช้ในการทำพริกแกงข้าวซอย ตามสูตรของร้านนี้มีดังนี้... พริกแห้ง 2 ขีด, กระเทียม 3 ขีด, หอมแดง 3 ขีด, ข่า 2 ขีด, ตะไคร้ 2 ขีด, ขิง 1 ขีด, กะปิ 1.5 ขีด, เม็ดผักชียี่หร่า 1/2 ขีด, ผง กะหรี่ 2 ช้อนโต๊ะ, ผงขมิ้น 2 ช้อนโต๊ะ, เกลือ 2 ช้อนโต๊ะ

จากสูตรนี้สามารถทำพริกแกงได้ประมาณ 1 กิโลกรัม

วิธีการทำพริกแกง เริ่มจากนำวัตถุดิบทุกอย่างมาทำการปั่นให้ละเอียด โดยแยกปั่นแต่ละอย่าง จากนั้นก็นำวัตถุดิบทุกอย่างที่ปั่นละเอียดแล้วมาเทใส่รวมกันในครก ทำการโขลกให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน เท่านี้ก็จะได้พริกแกงพร้อมสำหรับทำข้าวซอย โดยพริกแกงข้าวซอยจะออกทางหอมกลิ่นผงกะหรี่

เมื่อได้พริกแกงก็มาถึงวิธีทำ “น้ำแกงข้าวซอย” เริ่มจากนำหัวกะทิใส่กระทะตั้งไฟปานกลาง ทำการเคี่ยวให้หัวกะทิแตกมัน จากนั้นก็นำพริกแกงที่ทำเตรียมไว้ใส่ลงไปผัดรวมกับหัวกะทิ พอเริ่มหอมก็ให้นำเนื้อวัวหรือเนื้อไก่ใส่ลงไปผัดด้วยประมาณ 15 นาที

เนื้อวัวที่ใช้ทำควรจะใช้เนื้อส่วนน่องลาย เพราะเป็นเนื้อส่วนที่มีเอ็นติดแทรกอยู่ในเนื้อ เวลาทำออกมาจะอร่อยมาก ส่วนถ้าเป็นเนื้อไก่นั้นจะใช้เนื้อส่วนน่องมาทำ โดยเลือกใช้น่องที่มีขนาด 8-9 น่องต่อกิโลกรัม

ขั้นตอนต่อไป นำหางกะทิใส่หม้อตั้งไฟอ่อน ๆ ใส่เกลือและน้ำตาลทรายลงไปเล็กน้อย พอกะทิเดือดก็นำเนื้อหรือไก่ที่ผัดกับพริกแกงใส่ลงไปในหม้อ จากนั้นก็ตั้งไฟเคี่ยวไปเรื่อย ๆ

ถ้าเป็นเนื้อจะใช้เวลาในการเคี่ยวเป็นชั่วโมงเพื่อให้เนื้อเปื่อยนุ่ม แต่ถ้าเป็นน่องไก่จะใช้เวลาในการเคี่ยวประมาณ 1/2 ชั่วโมงเท่านั้น เท่านี้ก็จะได้น้ำแกงสำหรับใส่เส้นข้าวซอย

สำหรับการเตรียม “เส้นข้าวซอย” นั้น ก็แค่ตั้งน้ำให้เดือดแล้วนำเส้นลงลวกให้เส้นนิ่ม ใส่ชาม ใส่น้ำแกงที่เตรียมไว้ลงไป แล้วก็จะใส่เส้นบะหมี่ที่ทอดกรอบอีกส่วนหนึ่งด้วย แต่เส้นข้าวซอยนั้นถ้าจะให้ได้รสชาติข้าวซอยเมืองเหนือแท้ ๆ จะต้องใช้เส้นข้าวซอยโดยเฉพาะ ซึ่งทางร้านนี้จะมีแหล่งสั่งซื้อจากจังหวัดเชียงใหม่

“ข้าวซอย” นั้นต้องเสิร์ฟคู่กับเครื่องเคียง อย่างผักกาดดองหั่นเป็นชิ้น, หอมแดงหั่นเป็นชิ้น และมะนาวหั่นซีก

หากใช้พริกแกงประมาณ 1 กิโลกรัม ต่อเนื้อวัวหรือน่องไก่ 5 กิโลกรัม และกะทิ 4 กิโลกรัม จะสามารถทำข้าวซอยได้ประมาณ 45 ชาม ราคาขายของร้าน “รสมือแม่” อยู่ที่ชามละ 40 บาท

ภัคพงศ์ยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับ “น้ำเงี้ยว” ด้วยว่า สำหรับพริกแกงที่ใช้ทำน้ำเงี้ยวก็จะใช้วัตถุดิบเหมือนพริกแกงข้าวซอย เพียงแต่พริกแกงของน้ำเงี้ยวนั้นไม่ต้องใส่ขิงและผงกะหรี่ ส่วนวิธีการทำก็เหมือนกัน

การทำน้ำเงี้ยว เริ่มจากนำพริกแกงมาผัดกับน้ำมันให้พอหอม จากนั้นก็ใส่หมูลงไปผัดให้พอมีกลิ่นหอม ทำการตั้งน้ำต้มกระดูกหมู พอเดือดก็ใส่หมูที่ผัดกับพริกแกงลงไปในหม้อ ต้มไปเรื่อย ๆ ใส่เลือดไก่และมะเขือเทศลงไป ปรุงรสตามต้องการ ก็จะได้น้ำเงี้ยวสำหรับราดเป็น “ขนมจีนน้ำเงี้ยว” เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงอย่าง ผักกาดดองหั่นฝอย, กะหล่ำปลีหั่นฝอย และพริกแห้งทอด

นอกจากข้าวซอยและน้ำเงี้ยวแล้ว ร้านรสมือแม่ยังมีอาหารเหนืออีกหลายเมนู อาทิ น้ำพริกอ่อง, ไส้อั่ว, แกงฮังเล, แกงอ่อม, แกงแค ฯลฯ และยังมีเมนู “สเต๊ก” ที่ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ไปที่ร้านนี้มักจะสั่งทานกัน

ใครสนใจอาหารเหนือ “ร้านรสมือแม่” ร้านนี้อยู่ในซอยชินเขต 2/40 หลังมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เข้าทางถนนวิภาวดีรังสิตตรงนอร์ท ปาร์คก็ได้ เปิดทุกวัน 10.00-22.00 น. สอบถามเส้นทาง โทร. 08-6378-9454 08-6378-9454 ซึ่งร้านนี้ก็พิสูจน์กับ “ช่องทางทำกิน” ว่าอาหารเหนือ ไม่ต้องขายที่เมืองเหนือก็ได้ !!.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน

ขอบคุณที่มา เดลินิวส์

‘ข้าวเหนียวมูนธัญพืช’ ขนมหวานแสนอร่อย


ขายได้ทั้งปี-ขายดีช่วง ‘กินเจ’

ในยุคที่เศรษฐกิจตกสะเก็ด ถ้าใครมัวแต่ย่ำอยู่กับสิ่งเดิม ๆ ก็คงไปไม่รอดแน่ ซึ่งกับการค้าขายนั้นการสร้างจุดขายและไอเดียที่แปลกใหม่เป็นสิ่งจำเป็นมาก และสำหรับตัวอย่าง “ช่องทางทำกิน” รายนี้ ก็มีไอเดียดี ๆ มีสินค้าน่าสนใจ ซึ่งกับ “เทศกาลกินเจ” ที่ใกล้จะมาถึง สินค้าตัวนี้ก็มีโอกาสขายดิบขายดียิ่งขึ้น...

เฉลิมพันธ์ เจษฎาพงศ์ภักดี หรือ เจ๋ง ทายาทร้านแม่เก่ง ขายข้าวเหนียวมูนสมุนไพรแฟนซี และ “ข้าวเหนียวมูนธัญพืช” เจ้าตัวเล่าให้ฟังว่า ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจครอบครัว ที่ได้ระดมความคิดและลองผิดลองถูกในการทำข้าวเหนียวมูนร่วมกันมา สุดท้ายก็มาลงตัวกับรสชาติปัจจุบัน เป็นที่ถูกอกถูกใจของผู้ที่ได้ลิ้มลอง

เจ๋งเองก็โตมาพร้อม ๆ กับธุรกิจข้าวเหนียวมูน รู้ขั้นตอนการผลิตและการขายทุกอย่าง และตอนนี้ก็ได้เข้ารับช่วงสานต่อธุรกิจนี้ โดยกำลังศึกษาระดับปริญญาตรีบริหารธุรกิจ เพื่อจะนำความรู้มาพัฒนาธุรกิจต่อไป

“ข้าวเหนียวสมุนไพรแฟนซี เป็นแนวคิดของผม เป็นไอเดียที่นำสีจากสมุนไพรธรรมชาติมาผสมเพื่อสร้างสีสันและความแตกต่าง โดยทำเป็น 9 สี 9 รส สีม่วงจากอัญชัน, สีเหลืองจากขมิ้น, สีเขียวจากใบเตย, สีส้มจากแครอท, สีแดงจากบีทรูท, สีดำจากข้าวเหนียวดำ, สีชมพูจากดอกเฟื่องฟ้า และสีเนื้อจากแก่นฝาง เมื่อทำออกมาขายในตลาด กระแสตอบรับดีมาก ๆ จนระยะหลัง ๆ ก็มีคนลอกเลียนเยอะเหมือนกัน”

เจ๋งเล่าต่อไปว่า ต่อมาได้มีการพัฒนาสินค้า จนเกิดเป็น “ข้าวเหนียวมูนธัญพืช” ซึ่งจากกระแสรักสุขภาพ ก็มีลูกค้าสนใจมาก และในช่วง “เทศกาลกินเจ” เมื่อปีที่แล้ว ก็ขายดิบขายดี จนต้องทำต่อเนื่อง ซึ่งก็จะมีทั้ง ข้าวเหนียวมูนลูกเดือย, ข้าวเหนียวมูนแปะก๊วย, ข้าวเหนียวมูนเม็ดบัว, ข้าวเหนียวมูนถั่วเหลือง, ข้าวเหนียวมูนเผือก, ข้าวเหนียวมูนงาม่อน, ข้าวเหนียวมูนถั่วแดง, ข้าวเหนียวมูนกลอย

สำหรับการทำข้าวเหนียวมูนขาย อุปกรณ์ที่ต้องใช้หลัก ๆ ก็มี... เตาแก๊ส, ลังถึง, ไม้พาย, หม้อสเตนเลส, ถังน้ำ, กะละมังขนาดใหญ่, ถาด, มีด, ทัพพี, กระชอน, กระทะ, ผ้าขาวบาง ฯลฯ

ส่วนวัตถุดิบทำ “ข้าวเหนียวมูนธัญพืช” ถ้าใช้ข้าวเหนียวเขี้ยวงู 10 กก. จะใช้มะพร้าวขูดขาว 18 กก., น้ำตาลทรายขาว 6 กก. และลูกเดือย เผือก ถั่วแดง แปะก๊วย เป็นต้น

ขั้นตอนการทำ “ข้าวเหนียวมูนธัญพืช” เช่น ลูกเดือย แปะก๊วย เผือก และถั่วแดง เริ่มจากนำข้าวเหนียวมาแช่น้ำทิ้งไว้ 3 ชั่วโมง แล้วซาวล้างให้สะอาด นำไปใส่ลังถึงนึ่ง โดยรองด้วยผ้าขาวบาง เกลี่ยข้าวเหนียวให้ทั่ว นึ่งน้ำเดือดไฟแรงประมาณ 45 นาที เพื่อให้เมล็ดข้าวเหนียวอ่อนนุ่ม

ธัญพืชต่าง ๆ ให้แยกนึ่งแต่ละชนิด ลูกเดือย ให้นำไปแช่น้ำทิ้งไว้ 3 ชั่วโมง แล้วซาวล้าง จากนั้นนำไปต้มสัก 10 นาที ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำแล้วนำไปนึ่งพร้อมกับข้าวเหนียว, แปะก๊วย ล้างให้สะอาด นำไปนึ่งพร้อมกับข้าวเหนียว, เผือก ทำการปอกเปลือก แล้วล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก นำไปนึ่งพร้อมกับข้าวเหนียว ส่วนถั่วแดง นำไปแช่น้ำ 3 ชั่วโมง ล้างให้สะอาด แล้วนำไปต้ม 15 นาที ให้เม็ดนิ่ม แล้วจึงนำไปนึ่งพร้อมข้าวเหนียว

ระหว่างที่รอข้าวเหนียวสุก ทำการคั้นมะพร้าวด้วยน้ำต้มสุกจนได้หัวกะทิสดที่เข้มข้น

นำหัวกะทิสดที่ได้มาแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกใช้ในการมูนข้าวเหนียว โดยนำน้ำกะทิมาเติมน้ำตาลทราย เกลือ ให้รสชาติออกหวานเค็มพอดี ๆ ใช้ทัพพีคนส่วนผสมให้ละลายเข้ากัน แล้วทำการกรองน้ำกะทิด้วยผ้าขาวบางอีกรอบให้สะอาด นำขึ้นตั้งไฟพอเดือด ยกลงตั้งพักไว้ เมื่อข้าวเหนียวที่นึ่งกับธัญพืชสุก เทใส่กะละมัง นำน้ำกะทิที่เตรียมไว้เทราดลงในข้าวเหนียวธัญพืชที่ยังร้อน ๆ ใช้ไม้พายช่วยมูนให้ข้าวเหนียวกับน้ำกะทิเข้ากันจนทั่ว แล้วปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีเพื่อให้ความร้อนจากข้าวเหนียวดูดซึมน้ำกะทิให้แห้ง

น้ำกะทิอีกส่วน นำมาผสมแป้งข้าวโพด น้ำตาลทราย เกลือนิดหน่อย ชิมรสชาติตามชอบ นำขึ้นตั้งไฟใช้ความร้อนปานกลาง คนไปเรื่อย ๆ ไม่ให้กะทิแตกมัน พอเดือดยกลง ก็จะได้กะทิสำหรับราดข้าวเหนียวเพื่อเพิ่มรสชาติ และก็ต้องทำถั่วเขียวซีกคั่วไว้สำหรับโรยหน้าข้าวเหนียวมูนด้วย ซึ่งจุดเด่นข้าวเหนียวมูนร้านแม่เก่งคือจะมีรสชาติหวานมันกลมกล่อม ข้าวเหนียวไม่แฉะ ตอนรับประทานรสชาติยังคงติดลิ้น

ข้าวเหนียวมูนทุกอย่างของร้านนี้ ขาย กก.ละ 120 บาท โดยมีต้นทุนประมาณ 50% จากราคาขาย

ร้านข้าวเหนียวมูนร้านนี้อยู่ปากซอยหมู่บ้าน ต.รวมโชค 33/496 ซอยโชคชัย 4 (54) ถนนลาดพร้าว กรุงเทพฯ โทร. 08-9881-2349, 08-9889-8891, 0-2538-3331 ใครสนใจซื้อ สนใจจะสั่งไปขายต่อ ก็เชิญได้ตามสะดวก ซึ่งกับ “เทศกาลกินเจ” ที่ใกล้จะมาถึง “ข้าวเหนียวมูนธัญพืช” ก็เป็นอีกสินค้าที่มีแนวโน้มสดใส.

เชาวลี ชุมขำ : รายงาน/จเร รัตนราตรี : ภาพ
ขอบคุณที่มาจาก เดลินิวส์

‘ผัดไทย-กระเพาะปลา’ เลิศรส

‘สูตรเจ’ ทำง่าย-ขายคล่อง

“ผัดไทย” และ “กระเพาะปลา” ในช่วงเวลาปกติถือเป็นเมนูจานเดียวที่ขายคล่อง และสำหรับ “เทศกาลกินเจ” ที่กำลังจะมาถึง ทั้ง 2 เมนูนี้ก็สามารถพลิกแพลงเป็น “สูตรเจ” ได้ไม่ยาก โดยวันนี้ทางทีมงาน “อาชีพเสริม ช่องทาง ทำกินของสำหนักพิมพ์เดลินิวส์” ก็มีสูตร “ผัดไทยเจ” และ “กระเพาะปลาเจ” มานำเสนอให้ลองพิจารณากัน...

สำหรับสูตรการทำอาหารเจทั้ง 2 เมนูนี้ ได้ อาจารย์เฉลิมชาติ ประไพ อาจารย์สอนทำอาหารเจที่มีประสบการณ์ เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้เทคนิควิธีทำ โดยอาจารย์เฉลิมชาตินั้นกินเจมาตั้งแต่อายุ 17 ปี เนื่องจากมีปัญหาเรื่องสุขภาพจึงหันมาสนใจเรื่องสุขภาพด้วยการกินเจนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งจากการที่กินเจมานาน มีโอกาสเข้าทำงานในโรงเจบ่อย จึงได้เรียนรู้วิธีทำอาหารเจ ลองฝึกหัดทำด้วยตัวเองจนเชี่ยวชาญ มีการดัดแปลงให้อาหารเจมีความร่วมสมัยมากขึ้น คิดค้นทำอาหารมากมายหลากหลาย เพื่อไม่ให้อาหารเจเป็นอาหารที่จำเจ

หลังจากที่มีฝีมือทางด้านการทำอาหารเจ ก็ทำอาหารเจไปขายตามห้างสรรพสินค้า ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี และภายหลังก็ผันตัวเองเป็นอาจารย์สอนทำอาหารเจด้วย

“อาหารเจนั้นทำไม่ยาก วิธีการทำก็จะคล้ายกับการทำอาหารที่มีเนื้อสัตว์ทั่วไป เพียงแต่เปลี่ยนจากเนื้อสัตว์เป็นโปรตีนเกษตร เปลี่ยนน้ำปลาเป็นซีอิ๊ว และใช้น้ำมันพืชแทนน้ำมันหมู”

อาหารเจอย่าง “ผัดไทยเจ” และ “กระเพาะปลาเจ” นั้น ก็เป็นอีก 2 เมนูที่ทำง่าย-ขายคล่อง สามารถทำขายได้ทั้งปี และจะขายดีที่สุดในช่วงเทศกาลกินเจ โดยอุปกรณ์ในการทำก็สามารถใช้อุปกรณ์ที่มีอยู่ในครัวเรือนได้ เพียงแต่ต้องล้างทำความสะอาดให้หมดจด และไม่ใช้ร่วมกับการทำอาหารที่มีเนื้อสัตว์

“ผัดไทยเจ” อาจารย์เฉลิมชาติบอกว่า วัตถุดิบที่ใช้ทำก็มี...เส้นผัดไทย, เต้าหู้, ถั่วฝักยาว, ถั่วงอก, น้ำมันพืช, ซอสมะเขือเทศ, น้ำตาลปี๊บ, เกลือป่น, น้ำมะขามเปียก, หัวปลี, ถั่วลิสงคั่วบด, มะนาว

วิธีทำผัดไทยเจ เริ่มจากนำเส้นผัดไทยไปแช่ในน้ำเพื่อให้เส้นนิ่ม ตั้งกระทะใส่น้ำมันใช้ไฟอ่อน เพราะถ้าใช้ไฟแรงอาจจะไหม้ได้ จากนั้นใส่ซอสมะเขือเทศ น้ำตาลปี๊บ เกลือป่น น้ำมะขามเปียก และผงซุปเจ ลงไปในกระทะ เคี่ยวไปเรื่อย ๆ ชิมให้ได้รสชาติออกหวานอมเปรี้ยว

สำหรับน้ำมะขามเปียกนั้นไม่ควรใส่เยอะ เพราะจะทำให้เส้นดำ ดูไม่น่ารับประทาน

เคี่ยวไปจนขึ้นฟอง จากนั้นก็ใส่เต้าหู้ที่หั่นเป็น 4 เหลี่ยม และใส่ถั่วฝักยาวลงไป อาจจะใส่โปรตีนเกษตรด้วย หรือจะไม่ใส่ก็ได้ ใส่เส้นที่แช่น้ำแล้วตามลงไป ทำการผัดคลุกเคล้าให้ซอสเข้าเส้นผัดไทย

ทำการปรุงรสตามต้องการ เมื่อได้รสชาติที่ต้องการก็ใส่ถั่วงอกลงไปผัดด้วยเป็นลำดับสุดท้าย ตักขึ้นใส่จาน หรือกล่อง ใช้ถั่วลิสงคั่วบดโรยหน้า นำหัวปลีหั่นเสี้ยวและมะนาวหั่นเป็นซีกวางข้าง ๆ

เท่านี้ก็พร้อมเสิร์ฟ “ผัดไทยเจ” โดยราคานั้นถ้าใส่กล่องเล็ก ๆ ตั้งราคาที่ 10 บาท จะขายคล่อง

ต่อไปเป็น “กระเพาะปลาเจ” อาจารย์เฉลิมชาติบอกว่า วัตถุดิบที่ ใช้ทำกระเพาะปลาเจ ประกอบด้วย... แป้งหมี่กึง (กระเพาะปลาเจ), ยอดมะพร้าว หรือหน่อไม้ก็ได้, เห็ดฟาง หรือเห็ดนางฟ้า, เห็ดหอม, เห็ดหูหนู, รากผักชี, เครื่องยาจีนสำเร็จรูป, ซีอิ๊วดำ, ซีอิ๊วขาว, ผงซุปเจ, แป้งมัน, ลูกชิ้นเจ, ไก่ฝอยเจ

ส่วนเครื่องปรุงรสสำหรับลูกค้าก็มี ซีอิ๊วขาว, น้ำตาลทราย, จิกโฉ่ว และพริกน้ำส้ม

ขั้นตอนการทำเริ่มจาก... นำแป้งหมี่กึงไปทำการแช่น้ำและใช้มือนวดบีบ เปลี่ยนน้ำประมาณ 7 ครั้ง จนความขุ่นของแป้งออกไปและแป้งนิ่ม จากนั้นก็บีบให้แป้งกึงสะเด็ดน้ำ นำแป้งกึงที่สะเด็ดน้ำแล้วไปทอดในน้ำมันให้กรอบ ควรใช้ไฟอ่อน ๆ ในการทอด ทอดได้ที่แล้วก็ตักขึ้นพักไว้

ลำดับถัดมาก็นำน้ำสะอาดใส่หม้อตั้งไฟ ใส่แป้งหมี่กึงที่ทอดแล้วลงไปต้มในหม้อ นำยอดมะพร้าว เห็ดฟางหรือเห็ดนางฟ้า เห็ดหอม เห็ดหูหนูซึ่งทั้งหมดหั่นให้เป็นเส้นแล้ว ใส่ตามลงไป แล้วใส่ลูกชิ้นเจ ไก่ฝอยเจ รากผักชี เครื่องยาจีนสำเร็จรูป ตามลงไป เคี่ยวด้วยไฟปานกลางไปเรื่อย ๆ

ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ ผงซุปเจ พอน้ำเดือดก็นำแป้งมันที่ละลายน้ำใส่ลงไปพอประมาณ กะดูไม่ให้น้ำเหนียวเกินไป หรือเหลวเกินไป เท่านี้ก็เรียบร้อย สำหรับ “กระเพาะปลาเจ”

เวลาขายก็ใส่กระทะทองเหลืองตั้งไฟอ่อน ๆ อุ่นไปขายไป ขายได้ในราคาชุดละ 30 บาท

“ผัดไทยเจ” และ “กระเพาะปลาเจ” ตามสูตรนี้ มีต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 50% จากราคาที่ตั้งขาย ผู้ที่สนใจจะใช้ 2 เมนูนี้เป็น “ช่องทางทำกิน...ช่วงเทศกาลกินเจ” ก็ลองฝึกทำกันดู ส่วนใครต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับอาหารจากอาจารย์เฉลิมชาติมากกว่านี้ ก็ลองติดต่อสอบถามกันโดยตรงที่ โทร.08-9140-1145

อาหารเจนี้ ถ้ารู้จักพลิกแพลง ก็ทำขายได้ตลอดทั้งปี

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน

หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์

"กระเพาะปลาน้ำแดง" "เพื่อสุขภาพ"เพิ่มจุดขาย !

การขายอาหารการกินในปัจจุบัน ไม่ว่าจะร้านเล็ก-ร้านใหญ่ นอกจาก ราคาเป็นธรรม ใส่ใจเรื่องความสะอาดแล้ว ควรให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพผู้บริโภคด้วย ซึ่งกับ “กระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าว-แปะก๊วย” ที่ทีม “อาชีพเสริม สร้างรายได้” มีข้อมูลมานำเสนอวันนี้ ก็ใส่ใจสุขภาพลูกค้าจนเป็นจุดขายที่ดีทีเดียว...

“กระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าว-แปะก๊วย” เจ้านี้ ธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาสำหรับคนรักสุขภาพ ผู้ปรุงขายนั้นเป็นอดีตข้าราชการของสถาบันมะเร็งฯในตำแหน่งโภชนากรดูแลอาหารผู้ป่วย เมื่อเกษียณอายุราชการแล้วก็เปิดกิจการเล็ก ๆ ขายกระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าวฯ และก็เป็นที่นิยมของลูกค้ามากทีเดียว

อารยา ปั้นพิพัฒน์ หรือ ป้าเจียม เจ้าของสูตร เล่าว่า ทำกระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าว-แปะก๊วยขายมาตั้งแต่ พ.ศ. 2543 ก็เป็นเวลากว่า 9 ปีแล้ว กระเพาะปลาที่ทำขายนั้นนอกจากเน้นความอร่อยแล้วยังให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพด้วย จะไม่ใส่เครื่องใน ใช้ยอดมะพร้าวแทนหน่อไม้ เสริมด้วยเม็ดแปะก๊วยซึ่งดีต่อสุขภาพ และจะไม่ใส่น้ำปลาและชูรส ที่สำคัญจะไม่ใส่สารกันบูด แต่แป้งก็ไม่มีการคืนตัว
สำหรับ อุปกรณ์ในการทำกระเพาะปลาน้ำแดงขายนั้น ถ้าทำขายเล็ก ๆ อุปกรณ์ การทำก็เป็นพวกเครื่องครัวต่าง ๆ เช่น เตาแก๊ส หม้อ จาน ฯลฯ และก็ควรต้องมีหม้อใส่กระเพาะปลาขายโดยเฉพาะด้วย

ส่วนสูตรและวิธีทำกระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าว-แปะก๊วยเจ้านี้ เริ่มที่ทำน้ำซุป โดยใส่น้ำสะอาดในหม้อเบอร์ 40 ต้มน้ำให้เดือด จากนั้นใส่โครงไก่หักครึ่ง 2 กก. รากผักชี 200 กรัม และพริกไทยดำ 200 กรัม ปรุงรสด้วยซอส 2 ถ้วย ซีอิ๊ว 1/2 ถ้วย และน้ำตาลกรวด 500 กรัม น้ำซุปนี้ต้มเคี่ยวประมาณ 3 ชั่วโมง

เมื่อขั้นตอนการต้มน้ำซุปเรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการทำกระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าว-แปะก๊วย โดยใส่กระเพาะปลา 1,500 กรัม (แช่น้ำให้นุ่ม ต้มให้สุก ล้างด้วยน้ำเย็น บีบให้พอหมาด ๆ แล้วหั่นเป็นชิ้น ๆ) แล้วใส่ เห็ดหอม 300 กรัม (แช่น้ำให้นิ่ม และหั่นเป็นชิ้น ๆ เช่นกัน)

ใส่ยอดมะพร้าวหั่นต้ม 1.5 กก. จากนั้นค่อย ๆ ละลายแป้งท้าวยายม่อมและแป้งถั่วอย่างละ 200 กรัม กับน้ำในปริมาณที่พอประมาณ ดูว่าไม่ใสเกินไป-ไม่ข้นเกินไป ละลายแป้งแล้วก็ใส่ลงไปในหม้อ ตามด้วยใส่เลือดไก่ 5 ถ้วย ซึ่งต้องล้าง และต้มให้สุกเสียก่อน จากนั้นใส่ไข่นกกระทาต้ม 50 ฟอง เท่านี้ก็เรียบร้อยไปส่วนหนึ่ง

ในส่วนของเม็ดแปะก๊วยนั้น จากสูตรส่วนผสมข้างต้น จะใช้ประมาณ 1.5 กก. (ล้างให้สะอาด และต้มให้สุก) โดยจะแยกไว้ต่างหากไม่ใส่ผสมเลยทีเดียว และรวมถึงเส้นหมี่ลวกสุกกับผักชีหั่น ที่ก็แยกไว้เช่นกัน

นอกจากนี้ ก็ต้องเตรียมน่องไก่และปีกไก่ตุ๋น 2 กก. (การตุ๋นน่องไก่หรือปีกไก่นั้นให้นำลงต้มพร้อมกับน้ำซุปกระเพาะปลาให้สุกก่อน เมื่อน่องไก่หรือปีกไก่สุกแล้วก็ให้ตักออกมาใส่หม้อตุ๋นอีกใบต่างหาก โดยตุ๋นด้วยน้ำซุปกระเพาะปลาที่แบ่งมา และปรุงรสด้วยซีอิ๊วดำพอประมาณ ตุ๋นไปจนงวดก็เป็นอันใช้ได้)

การขาย ก็ตักกระเพาะปลาใส่ถุงหรือชาม ขายชุดละ 25 บาท โดยกะปริมาณกระเพาะปลา ยอดมะพร้าว เส้นหมี่ และแป้ง ให้พอดี ๆ ใส่ไข่นกกระทา 2 ฟอง, น่องไก่หรือปีกไก่ 1 ชิ้น และเม็ดแปะก๊วยต้มจำนวนหนึ่ง โรยหน้าด้วยผักชีซอย และพริกไทย เสิร์ฟ-ขายพร้อมเครื่องปรุง อาทิ น้ำตาลทราย,จิ๊กโฉ่ว

จากปริมาณส่วนผสมที่ว่ามาข้างต้นนั้น เจ้าของสูตรนี้บอกว่า ถ้าขายหมดจะมี รายได้ประมาณ 2,000 บาท โดยต้นทุนจะอยู่ที่ประมาณ 1,000 บาท ซึ่งก็นับว่าเป็นเมนูอาหารที่สร้างรายได้น่าสนใจทีเดียว

ใครสนใจ “กระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าว-แปะก๊วย” สูตร ของป้าเจียม-อารยา อยากชิม หรือต้องการติดต่อไปออกร้าน ก็ติดต่อสอบถามไปได้ที่ โทร. 0-2526-5681, 08-1699-7505, 08-9484-7167 ส่วนใครที่ได้ไอเดียทำกินจากอาหารที่เน้นสรรพคุณเพื่อสุขภาพเป็นจุดขาย ก็รีบฝึกฝนเพื่อทำขาย อย่ารอช้า !!.

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน-----------ที่มา เดลินิวส์

'ตุ๊กตาถุงเท้า' ไอเดียเก๋ไก๋-รายได้สวย

"ถุงเท้า” สามารถนำมาประดิษฐ์เป็น “ตุ๊กตา” ได้ เป็นอีกงานไอเดียสร้างมูลค่าเพิ่ม และเป็นสินค้าที่สามารถสร้างรายได้ ซึ่งวันนี้ทีม “อาชีพเสริม สร้างรายได้” ก็มีข้อมูลการทำ “ตุ๊กตาถุงเท้า” มานำเสนอ...

อาภรณ์ศิลป์ กันณิกา หรือ น้อง อายุ 27 ปี เรียนจบด้านวิศวกรรมโยธาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร แล้วก็เข้าทำงานเป็นวิศวกรโยธาอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง ส่วนเจ้า “ตุ๊กตาถุงเท้า” หรือซอค ดอลล์ (Sock doll) นี้ ทำจำหน่ายเป็นอาชีพเสริม ซึ่งก็สามารถทำรายได้ที่น่าสนใจ จึงทำเป็นงานเสริมมาเรื่อย ๆ

ความเป็นมาของการที่มาทำงานประเภทนี้ เจ้าของผลงานเล่าว่า เริ่มมาจากการที่ต้องการจะทำตุ๊กตาให้กับคนพิเศษในวันวาเลนไทน์ และเห็นพี่สาวทำตุ๊กตาถักไหมพรมอยู่ก่อนแล้ว จึงเกิดความคิดที่จะลองหาวัสดุอื่นมาลองทำ ก็ทดลองนำเอา “ถุงเท้า” มาทำ พอทำตุ๊กตาถุงเท้าเสร็จเป็นตัวแรกก็ได้นำรูปไปลงใน ไฮไฟว์ แล้วบังเอิญเพื่อนเข้ามาเห็นเลยอยากได้ จึงสั่งให้ผลิตตุ๊กตาให้ 2 คู่ แล้วจากนั้นก็มีออร์เดอร์สั่งเข้ามาอีกเรื่อย ๆ

“ตอนนั้นจำได้ว่ารู้สึกดีใจมาก จากที่ตอนแรกคิดว่าจะทำให้กับคน พิเศษในวันวาเลนไทน์เท่านั้น พอมีคนเริ่มสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เลยคิดที่จะลงทุนทำอย่างจริงจัง โดยใช้เวลาหลังเลิกงานและวันหยุดในการผลิตตุ๊กตาถุงเท้า ส่วนช่องทางการจำหน่ายก็นำไปลงประกาศขายตามเว็บไซต์ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเป็นอย่างดี มีผู้สนใจสั่งสินค้าเข้ามาเรื่อย ๆ”

เจ้าของผลงานบอกต่อไปว่า วัตถุดิบต่าง ๆ ที่ใช้ในการผลิตนั้น ส่วนใหญ่จะไปหาซื้อที่ย่านสำเพ็ง เพราะมีให้เลือกหลากหลาย ที่สำคัญคือมีราคาถูก ทำให้สามารถผลิตตุ๊กตาถุงเท้าได้ในต้นทุนที่ไม่สูงมาก ซึ่งการลงทุนทำตุ๊กตาถุงเท้านั้น ใช้เงินลงทุนเบื้องต้นประมาณ 3,000 บาท

“งานตุ๊กตาถุงเท้านั้นเป็นงานแฮนด์เมด งานทุกชิ้นที่ทำจึงไม่ ซ้ำใคร แต่ที่สำคัญการทำตุ๊กตาถุงเท้าจำหน่ายต้องพยายามออกแบบใหม่ ๆ ออกมาเรื่อย ๆ และบางครั้งลูกค้าต้องการแบบพิเศษเราก็ต้องพยายามออกแบบให้กับลูกค้าให้ได้ ต้องตอบสนองความต้องการให้กับลูกค้าให้ได้”

สำหรับวัสดุอุปกรณ์ในการทำ “ตุ๊กตาถุงเท้า” หลัก ๆ มีดังนี้คือ... ถุงเท้าสี เกรด A (เน้นสีสันสวยงาม), ถุงเท้าสีขาว, ใยสังเคราะห์เกรด A, เข็มเย็บผ้า, ด้ายวีนัส, ไหมพรม, ปืนกาว, ดินสอ, กรรไกร

ขั้นตอน-วิธีการทำตุ๊กตาถุงเท้า เริ่มจากการทำลำตัวของตุ๊กตาเป็นอันดับแรก โดยนำถุงเท้าสีมากลับเอาด้านในออกมาด้านนอก จากนั้นใช้ดินสอร่างแบบตัวตุ๊กตา แล้วใช้ด้ายสี (ซึ่งต้องใช้ด้ายสีเดียวกับตุ๊กตาเพื่อความสวยงาม) ทำการเย็บตามแบบที่ร่างไว้ การเย็บจะใช้การเย็บแบบด้นถอยหลัง เพื่อความสวยงามทนทาน

เมื่อทำการเย็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ใช้กรรไกรตัดตามรอยเย็บ จากนั้น ทำการกลับด้านถุงเท้า แล้วใส่ใยสังเคราะห์ให้แน่น เท่านี้ก็จะได้เป็นส่วนตัวตุ๊กตา เตรียมรอไว้
ลำดับ ต่อมาก็เป็นขั้นตอนการทำส่วนหัวของตุ๊กตา ซึ่งการทำส่วนหัวจะใช้ถุงเท้าสีขาว ทำการใส่ใยสังเคราะห์เข้าไปในถุงเท้าให้มีลักษณะกลม แล้วใช้ด้ายมัดให้แน่น

เมื่อได้ส่วนหัวของตุ๊กตาแล้วก็นำไปประกอบเข้ากับส่วนตัวตุ๊กตา ยึดติดกันให้แน่นโดยใช้ด้ายเย็บ จากนั้นก็ใช้ด้ายสีด้นตามแนวเส้นที่ร่างไว้บนส่วนตัวของตุ๊กตา เพื่อให้เป็นแขนของตุ๊กตา แล้วนำไหมพรมมาถักเป็นผม ผูกด้วยโบ นำไปติดกับส่วนหัวตุ๊กตา ยึดให้แน่นด้วยกาวจากปืนยิงกาว

ขั้นตอนต่อไปคือการตกแต่งตา โดยใช้ด้ายสีน้ำตาลปักทำเป็นตา และใช้ไหมพรมสีแดงปักทำเป็นปาก ทำการปัดแก้มตุ๊กตาด้วยสีสันต่าง ๆ ตามไอเดีย นำถุงเท้าสีส่วนที่เหลือมาทำเป็นหมวกให้กับตุ๊กตา โดยใช้ปืนกาวยึดให้แน่น เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

“ตุ๊กตาถุงเท้า” ที่เจ้าของงานรายนี้ทำอยู่ มีหลายแบบ เช่น ตุ๊กตาคู่ชาย-หญิง, ตุ๊กตาแมว, ตุ๊กตากระต่าย โดยมีราคาขายอยู่ที่คู่ละ 100-110 บาท ต้นทุนประมาณ 60% นอกจากนี้ยังสามารถพลิกแพลงทำเป็นชิ้นงานอื่น ๆ เช่น พวงกุญแจตุ๊กตาดุ๊กดิ๊ก, พวงกุญแจตุ๊กตาถักไหมพรม ที่ขายได้ในราคาตัวละ 50 บาท

คุณน้อง-อาภรณ์ศิลป์ใช้เว็บไซต์ www.Welove shopping.com/shop/sock-doll โชว์ “ตุ๊กตาถุงเท้า” สินค้าตัวอย่าง ใครสนใจก็ลองคลิกเข้าไปดู หรือต้องการสั่งก็ติดต่อได้ที่ โทร. 08-6074-7399, 08-1354-5251 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกกรณีตัวอย่าง “ไอเดียสร้างงาน-สร้างรายได้”.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : ........รายงาน ..........ที่มา เดลินิวส์

อบรม-ธุรกิจ 'ร้านเช่าหนังสือ'

สวัสดีวันเสาร์ที่ 19 ก.ย. 2552 ครับ !! ก็พบกับผมใน “ถอดรหัสอาชีพ” หน้า “ช่องทางทำกิน” อีกเช่นเคย โดยเสาร์นี้เรามาว่ากันด้วยเรื่องของอาชีพหรือธุรกิจ “เปิดร้านเช่าหนังสือ” ซึ่งทางสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือสถาบันพัฒนาเอสเอ็มอี ฝากแจ้งข่าวอบรมธุรกิจนี้เข้ามา และผมลองคลิกเข้าไปดูในเว็บไซต์ของสถาบันนี้ เห็นว่ามีข้อมูลธุรกิจนี้อยู่ด้วยโดยสังเขป ก็เลยนำมาเล่าสู่กันด้วยเสียเลย...

จากข้อมูลในเว็บไซต์ www.ismed.or.th ของสถาบันพัฒนาเอสเอ็มอี เขาระบุถึงธุรกิจร้านหนังสือเช่าไว้ สรุปได้ว่า... ธุรกิจนี้จัดตั้งได้ โดยมีขั้นตอนไม่ยุ่งยากมากนัก เป็นงานอิสระที่ลงทุนเพียงครั้งเดียว แล้วก็รอทำรายได้ในระยะยาว จะทำเป็นอาชีพหลักหรืออาชีพเสริมก็ได้ แต่... ใครที่คิดจะทำธุรกิจนี้ก็จำเป็นต้องคำนึงถึงศักยภาพและคุณสมบัติที่เหมาะสมของตนเองด้วย !! ไม่ใช่แค่เพียงมีเงินทุนก็พอ

ศักยภาพและคุณสมบัติที่เหมาะสมในการทำธุรกิจ “ร้านเช่าหนังสือ” ก็เช่น... รักการอ่าน เพราะจะทำให้มีความรู้ มีความเข้าใจเกี่ยวกับหนังสือประเภทต่าง ๆ, มีเงินทุนเป็นของตนเองพอสมควร เนื่องจากการทำร้านในช่วงต้น ๆ ต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง ซึ่งถ้าผู้ที่สนใจทำ ธุรกิจมีความพร้อมด้านนี้แล้ว ก็สามารถดำเนินการขั้นต่อ ๆ ไปได้โดยไม่ ติดขัด ดังนั้น จึงจำเป็นต้องคำนึงถึงจุดนี้ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการ เปิดร้าน

มีทำเลที่ตั้งที่เหมาะสม นี่ก็สำคัญ ร้านควรอยู่ในแหล่งชุมชนที่มีกำลังซื้อ ซึ่งหากมีสถานที่เป็นของตนเองอยู่ในทำเลที่เหมาะสมด้วยก็จะดี จะทุ่นงบประมาณลงทุนได้มาก, มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีความเป็นกันเองต่อลูกค้า ไม่ว่าลูกค้าจะเป็นคนระดับใดก็ตาม ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญเท่ากันหมด, ให้บริการที่ดี และละเอียดรอบคอบ ผู้ประกอบการควรบริการลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น แนะนำหนังสือใหม่ให้ลูกค้า คิดเงิน-ทอนเงินถูกต้อง เป็นต้น ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะดึงดูดใจลูกค้าให้กลับมาใช้บริการที่ร้านอย่างต่อเนื่อง

นอกจากที่ว่ามา การทำธุรกิจนี้ยังต้องเรียนรู้ การตลาดร้านเช่าหนังสือ รู้ภาพรวมการตลาด สภาพการแข่งขัน กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ธุรกิจหลักและธุรกิจเสริม รู้ถึงส่วนผสมทางการตลาด ไม่ว่าจะเป็น...ผลิตภัณฑ์และการบริการ, การกำหนดราคาค่าบริการ, ทำเลที่ตั้งและการตกแต่งร้าน, การส่งเสริมการขายและการจูงใจลูกค้า

ต้องรู้และเข้าใจเรื่อง การดำเนินงานร้านเช่าหนังสือ เช่น... การซื้อหนังสือเข้าร้าน, การประหยัดค่าใช้จ่ายในร้าน, การนำคอมพิวเตอร์มาใช้, การบำรุงรักษาหนังสือ, การจ้างพนักงาน อีกทั้งยังต้องรู้ถึง การบริหารร้านเช่าหนังสือ อาทิ... รูปแบบการจัดองค์กร, การจัดการระบบการควบคุมดูแลภายในร้าน และที่สำคัญมากเช่นกันคือต้องรู้เรื่อง การเงินและการลงทุนร้านเช่าหนังสือ ตั้งแต่การจัดหาเงินลงทุน, โครงสร้างเงินลงทุน, ระยะเวลาการคืนทุน และในการเปิดร้าน-ทำธุรกิจ ก็จำเป็นต้องรู้เรื่องการติดต่อหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันก็ต้องรู้ เงื่อนไขและข้อจำกัดที่สำคัญ และ ปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ

ทั้งนี้ วันนี้ผมอาจจะแจงเป็นเชิงหลักการ อาจจะคล้ายกับ “SMEs ยุทธวิธีเศรษฐีใหม่” ไปบ้าง แต่ก็เพื่อให้ครบองค์เกี่ยวกับอาชีพนี้ ซึ่ง ในรายละเอียดที่ลงลึกมากกว่านี้นั้นทางสถาบันพัฒนาเอสเอ็มอีเขามีการ จัดทำเป็น หนังสือองค์ความรู้ “ธุรกิจร้านเช่าหนังสือ” ฉบับสมบูรณ์ เพื่อจำหน่ายให้กับผู้ที่สนใจ โดยติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และติดต่อ สั่งซื้อ ได้ที่... ศูนย์บริการเอสเอ็มอี โทร. 0-2564-4000 ต่อ 1111

แต่ถ้าใครต้องการเข้าอบรมโดยตรงเลย ตอนนี้ก็กำลังมีหลักสูตรรองรับ โดยในวันที่ 26-27 ก.ย. 2552 นี้ ที่เคยู โฮม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สถาบันพัฒนาเอสเอ็มอีจะจัด “อบรมหลักสูตรการทำธุรกิจ ร้านเช่าหนังสือ” ซึ่งในส่วนของการอบรมนี้ผู้ที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และสอบถามค่าธรรมเนียมการอบรม ได้ที่... คุณปัทมา โทร.0-2564-4000 ต่อ 2012-2019 หรือ 08-2450-2623

เสาร์นี้ว่ากันอาชีพเดียว...แต่ก็เต็ม ๆ ไปเลยครับ !!

(กมล คำแหง: ภาพ)

ที่มา เดลินิวส์

'ข้าวผัดกิมจิ' ทำเลใช่..เป็นอาชีพเสริมได้ !

อาชีพขายอาหารยังเป็น “อาชีพเสริม สร้างรายได้” ยอดฮิตทุกยุคสมัย ซึ่งการจะประสบความสำเร็จ นอกจากรสมือจะต้องดีแล้ว เรื่องทำเล เรื่องการปรับตัวตามกลุ่มเป้าหมาย ก็เป็นเรื่องสำคัญไม่น้อย และกับผู้ที่เลือกขายอาหารในย่านสถานศึกษา และมีเมนูตามกระแสนิยมของลูกค้าเป้าหมาย เช่น “ข้าวผัดกิมจิ” นี่ก็น่าสนใจ...

รวมพร หมื่นอินกุล หรือ ตวง อายุ 29 ปี เจ้าของร้านอาหารตามสั่ง อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยรังสิต เล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปของการมาทำอาชีพนี้ว่า หลังจากเรียนจบก็เข้าทำงานด้านการตลาด แผนกแฟชั่น เสื้อผ้าและของใช้ผู้หญิง ทำงานอยู่เกือบ 4 ปี ก็รู้สึกเบื่อ อยากทำงานอิสระ จึงลาออก

แรก ๆ นั้น เพราะเคยทำงานด้านแฟชั่น จึงหันมาเปิดร้านขายเสื้อผ้าหลังการบินไทย ตัดเอง ออกแบบเอง ช่วงแรกขายดีมาก มีเท่าไหร่ก็หมด ธุรกิจไปได้สวยจริง ๆ แต่ขายอยู่ประมาณปีกว่า ๆ ก็ต้องปิดตัว เพราะเศรษฐกิจเริ่มไม่ดี รายได้ของร้านลดลง จากเดิมลูกค้าซื้อ 7,000 - 8,000 บาท และมาบ่อย ๆ หลัง ๆ มาเดือนละครั้งสองครั้ง ยอดซื้อเหลือ 2,000 – 3,000 บาท แล้วที่สุดก็หายหน้าไปเลย

ตวงบอกว่า เป็นคนที่คิดเร็วทำเร็ว ก็เลยเปลี่ยนแนว หาทำเลทำร้านอาหารทันที ซึ่งที่บ้านทั้งคุณแม่และคุณยายทำอาหารอร่อยมาก ตนเองจะติดกับข้าวที่บ้าน และก็เป็นคนที่ชอบกินและชอบทำอาหารด้วย ชอบดูรายการอาหารทางทีวี ดูสูตรจากอินเทอร์เน็ต และซื้อตำรามาฝึกทำ ทั้งอาหารไทย อิตาเลียน ฝรั่ง ญี่ปุ่น และเกาหลี ลองผิดลองถูกไปเรื่อย โดยมีน้องชายเป็นผู้ช่วยชิม

สำหรับร้านอาหารที่เปิดขายอยู่นี้ เปิดมาได้ประมาณ 2 เดือนแล้ว และกำลังไปได้ดีเลยทีเดียว มีน้อง ๆ นักศึกษาเข้ามาเป็นลูกค้าขาประจำจำนวนมาก ซึ่งน่าจะเป็นเพราะทางร้านเข้าใจว่านักศึกษามีความเป็นวัยรุ่น ชอบอาหารที่มีสไตล์แปลก ๆ มีเมนูผสมผสานกัน ลูกค้ากลุ่มนี้ไม่ชอบความซ้ำซากจำเจ การเปิดร้านอาหารในทำเลแบบนี้ เมนูต้องเด็ดใหม่เสมอ ขณะที่เรื่องรสชาตินั้นถ้าเป็นอาหารต่างชาติก็ต้องประยุกต์ให้ถูกปากคนไทย

รายการอาหารของทางร้าน ก็จะมีอาทิ ข้าวผัดกิมจิ, ข้าวห่อไข่-ข้าวผัดแฮม, ข้าวผัดเบคอน, ไข่เจียวแฮมชีส, คร็อกเก้แกงกะหรี่ญี่ปุ่น, คร็อกเก้ครีมซอสแฮม, ตับไก่บดกับขนมปังปิ้ง, หอยลายเนยกระเทียมกับขนมปังปิ้ง, ข้าวผัดอเมริกัน, ข้าวผัดแกงกะหรี่ญี่ปุ่น, ข้าวปลาซาบะย่างซีอิ๊ว, ข้าวผัดต้มยำไก่-ทะเล, สปาเกตตีต้มยำ-ทะเล, ข้าวผัดเนื้อเค็ม, ข้าวไข่ระเบิด, ข้าวผัดพริกขี้หนูสด, ข้าวไก่คลุกฝุ่นกระเพากรอบ, ข้าวผัดแกงเขียวหวาน ฯลฯ โดยราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่เมนูละ 30-40 บาทเท่านั้น ซึ่งกำไรก็พอให้ร้านอยู่ได้และวันนี้ตวงก็มีสูตรการทำ “ข้าวผัดกิมจิ” มาแนะนำ

การทำ “ข้าวผัดกิมจิ” นี้ เริ่มกันตั้งแต่การทำ “กิมจิ” ก่อน วัตถุดิบที่ใช้ตามสูตรก็มี... ผักกาดขาว 2 หัวใหญ่, ต้นหอม 100 กรัม, ขิง 20 กรัม, พริกชี้ฟ้าสดสีแดง 100 กรัม, กระเทียม 10 กรัม, น้ำส้มสายชู 3 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ, เกลือ และน้ำสะอาด

วิธีทำกิมจิ นำผักกาดขาว 2 หัวใหญ่ ล้างให้สะอาดแล้วผ่าครึ่ง เด็ดออกทีละใบจนหมด พักไว้ ผสมน้ำเปล่ากับเกลือ 40 กรัม ทำการคนให้เกลือละลายเป็นน้ำเกลือ ชิมรสให้ออกเค็มเล็กน้อย จากนั้นนำผักกาดขาวที่เตรียมไว้มาแช่น้ำเกลือนานประมาณ 6-8 ชั่วโมง จนผักสลด จึงนำขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำ

นำพริกชี้ฟ้าแดงสดมาผ่าเอาเม็ดออก หั่นเป็นชิ้นเล็กใส่ลงไปในครก ตามด้วยขิง กระเทียม ทำการโขลกส่วนผสมทั้งหมดให้ละเอียด ตักมาใส่อ่างผสม ปรุงรสด้วยน้ำส้มสายชู น้ำตาลทราย และเกลือป่น คนให้เข้ากันเป็นน้ำปรุงรส แล้วพักไว้ จากนั้นหั่นต้นหอมเป็นท่อนยาวประมาณ 1 นิ้ว หั่นผักกาดขาวที่เตรียมไว้เป็นชิ้นพอคำ แล้วนำต้นหอม ผักกาดขาว และน้ำปรุงรส มาคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วหมักทิ้งไว้ประมาณ 3-4 วัน ก็เป็นอันใช้ได้

การจะทำข้าวผัดกิมจิ วัตถุดิบหลัก ๆ ก็มี... ข้าวสวย, เนื้อหมูหรือเนื้อไก่หั่นเป็นชิ้น, เนย, น้ำมันหอย, น้ำตาลนิดหน่อย และขาดไม่ได้คือกิมจิ

วิธีทำ “ข้าวผัดกิมจิ” เริ่มจากนำเนื้อหมูหรือเนื้อไก่ผัดกับเนยให้สุกและหอม ปรุงรสด้วยน้ำมันหอยและน้ำตาลนิดหน่อย จากนั้นก็นำกิมจิมาใส่ ใช้ไฟแรงผัดไปมา 3-4 ครั้ง ก็ตักราดบนข้าวสวยร้อน ๆ พร้อมเสิร์ฟ ซึ่งร้านนี้เขาจะไม่นำข้าวลงผัดคลุก จะใช้วิธีราดเครื่องลงบนข้าวเพื่อความสวยงาม แต่ก็เรียกชื่อเมนูเป็นข้าวผัด

ร้านของตวงอยู่ข้าง ๆ มหาวิทยาลัยรังสิต ถ้ามาจากหมู่บ้านเมืองเอกวิ่งตรงมาตลอด ให้สังเกตร้านจะอยู่ติดกับร้านอินเทอร์เน็ตและร้านก๋วยเตี๋ยวโบราณ เปิดขายทุกวันตั้งแต่เวลา 9 โมงเช้าไปจนถึง 2 ทุ่ม ใครอยากไปลองชิม ถ้าหาร้านไม่เจอสอบถามได้ที่ โทร.08-1925 -1171 ซึ่งร้านนี้ก็เป็นอีกกรณีศึกษาที่น่าสนเช่นกัน !!

เชาวลี ชุมขำ :รายงาน / จเร รัตนราตรี :ภาพ

ที่มา เดลินิวส์

'ตู้เสื้อผ้าตุ๊กตา' จับกระแสเป็นอาชีพเสริม...

งานไม้เพ้นท์สี งานฝีมือประเภทนี้ตลาดยังไปได้ ขอเพียงจับจุดลูกค้าถูก สามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายที่ตรงกับสินค้าได้ ก็สามารถจะเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ดีได้ อย่างเช่นงานประดิษฐ์ “ตู้เสื้อผ้าตุ๊กตา” ที่เน้นจับกลุ่มคนรัก “ตุ๊กตาบลายธ์” ซึ่งกำลังฮอตฮิตขณะนี้ นี่ก็เป็นอีกรูปแบบอาชีพที่น่าสนใจ...

ศศินันท์ โรจนัชยานนท์ เดิมทีทำงานเป็นพนักงานบริษัท แต่มักจะหาเวลาว่างไปอบรมการเพ้นท์สีเริ่มจากทำชิ้นงานเป็นงานอดิเรก ต่อมาเพื่อนและคนรู้จักเห็นผลงานก็แนะนำว่าน่าจะทำจำหน่าย จึงทดลองทำโดยฝากขายตามร้านที่รู้จักที่ตลาดนัดสวนจตุจักร ระยะแรกงานจะเป็นแนวคันทรี่และวินเทจ เน้นสีสันลวดลายที่ดูอ่อนหวาน ต่อมาเห็นว่ากระแสความนิยมตุ๊กตาบลายธ์ (Blythe) กำลังมาแรง แต่ของตกแต่งหรืออุปกรณ์ที่มีอยู่ในตลาดค่อนข้างมีราคาสูงและเป็นงานพลาสติกที่มีรูปแบบไม่คงทนและไม่สมจริง จึงคิดว่า “งานไม้เพ้นท์สี” ที่ทำอยู่สามารถดัดแปลงเพื่อให้เข้ากับความต้องการลูกค้าได้ จึงทดลองทำ และก็ได้การตอบรับดี ต่อมาจึงตัดสินใจหันมาจับอาชีพผลิตงานนี้อย่างเต็มตัว โดยเริ่มทำมาได้ประมาณ 1 ปีแล้ว

ปัจจุบันนอกจากวางขายปกติแล้ว ยังมีร้านจำหน่ายสินค้าทางอินเทอร์เน็ตอยู่ใน 2 เว็บไซต์ คือ www.sweetcountryshop.com และ www.boszyshop.com โดยลูกค้าส่วนใหญ่จะเข้าชมสินค้าก่อนตัดสินใจสั่งซื้อ ซึ่งช่องทางนี้เหมาะกับคนที่มีผลงาน แต่มีทุนไม่มากพอที่จะเปิดร้าน

“ผลงานระยะแรก ๆ ที่ทำ ก็จะเป็นงานประเภทกล่องไม้ ที่แขวนกุญแจ ตู้ใส่ของกระจุกกระจิกสำหรับผู้หญิง จึงคิดว่าถ้านำมาดัดแปลงโดยเพิ่มรายละเอียด อาทิ ลูกบิด ลิ้นชัก ราวแขวนเสื้อผ้า ให้ดูเป็นงานเฟอร์นิเจอร์จำลองที่ย่อส่วนลงมา ลูกค้าที่ชอบตุ๊กตาน่าจะชอบ จึงเริ่มผลิตงาน ซึ่งก็ได้รับการตอบรับอย่างดี”

เจ้าของผลงานบอกว่า นอกจากชิ้นงานที่ทำสำเร็จรูปแล้ว ยังมีลูกค้าที่มีความต้องการเฉพาะ จึงมีรายได้อีกทางจากการรับทำชิ้นงานตามคำสั่งซื้อหรือความต้องการของลูกค้า และยังมีลูกค้ากลุ่มที่นำไปใช้ตกแต่งบ้านและร้านค้า เรียกได้ว่ามีกลุ่มลูกค้าค่อนข้างกว้าง ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ลูกค้ากลุ่มสะสมตุ๊กตาเท่านั้น

สำหรับ “ตู้เสื้อผ้าตุ๊กตาบลายธ์” ที่ทำนั้น ที่เป็นชิ้นงานสำเร็จรูปจะมีขนาดมาตรฐานคือ กว้าง 29.5 x ยาว 15 x สูง 39 เซนติเมตร ส่วนลวดลายที่นิยมก็จะเป็นลายดอกกุหลาบ, ลายผ้าต่อ และลายน้องหมี เป็นต้น โดยราคาจำหน่ายคือชิ้นละ 600 บาท ไปจนถึง 4,500 บาท ขึ้นกับรายละเอียดความยากง่าย ซึ่งถึงแม้ราคาจะดูว่าสูง แต่ลูกค้ากลุ่มนี้ก็มีกำลังซื้อสูง เรื่องราคาจึงไม่ใช่ปัญหา ขอเพียงรูปแบบดี-มีคุณภาพ

การทำชิ้นงานประเภทนี้จำหน่าย ทุนเบื้องต้นใช้งบประมาณ 20,000 บาท โดยส่วนใหญ่จะเป็นค่าอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ อาทิ เครื่องตัดไม้, เครื่องมือสำหรับใช้ในงานช่างไม้ เช่น เลื่อยไฟฟ้า ปืนยิงกาวซิลิโคน ค้อน ตะปู สิ่ว และพู่กัน หลาย ๆ เบอร์ ทั้งชนิดหัวกลมและหัวแบน
ส่วนทุนวัสดุต่อชิ้นงานจะอยู่ที่ประมาณ 70% ของราคาขาย

วัสดุที่ต้องใช้ในการทำตู้เสื้อผ้าตุ๊กตา หลัก ๆ ก็มี สีอะครีลิก, กระดาษทราย, น้ำยาเคลือบ (หรือน้ำยาโพลียูริเทน สำหรับเคลือบเนื้อไม้), ไม้เอ็มดีเอฟ (หรือไม้อัดสังเคราะห์วัสดุผสม), ท่ออลูมิเนียม (สำหรับทำราวและชั้นวางในตู้เสื้อผ้า), ไม้เนื้ออ่อน, กระจก, ลูกบิด และบานพับ เป็นต้น

ขั้นตอนการทำ อาจจะมีรายละเอียดแตกต่างกันเล็กน้อยในแต่ละชิ้นงาน แต่จะมีวิธีการเหมือนกับการทำกล่องไม้ใส่ของกระจุกกระจิก ขั้นตอนหลัก ๆ คือ เริ่มจากการร่างแบบ โดยอาจใช้วิธีวาดแบบชิ้นงานที่ต้องการไว้ก่อน จากนั้นนำไม้ที่เตรียมไว้มาตัดตามแบบที่ร่างไว้ตามส่วนประกอบต่าง ๆ อาทิ บานประตูตู้, ฝาตู้, ชั้นวาง, ลิ้นชัก จากนั้นนำมาประกอบขึ้นรูปโดยยึดเข้าด้วยกันด้วยน็อตหรือตะปูเล็ก ขั้นตอนนี้ถือว่าสำคัญเพราะต้องอาศัยความใจเย็นและมือเบาที่สุด เพราะหากตอกแรงเนื้อไม้อาจแตกและทำให้ชิ้นงานเสียหายได้

จากนั้นทำการขัดผิวให้เรียบด้วยกระดาษทราย และทำการอุดรูตามเนื้อไม้ เสร็จแล้วให้ทำการทาสีรองพื้นซ้ำ ๆ หลายครั้ง เพื่อให้ได้สีพื้นตามต้องการ หรือจนกว่าจะไม่เห็นลายไม้ ทิ้งไว้แห้ง เมื่อแห้งแล้วจึงทำการลงลวดลายตามที่ได้ออกแบบไว้ เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำตู้เสื้อผ้าตุ๊กตา

“ขั้นตอนมีไม่มาก แต่ทุกขั้นตอนต้องอาศัยความชำนาญ ชิ้นงานแต่ละชิ้นต้องใช้เวลาทำค่อนข้างนาน เพราะต้องใช้ความประณีตและต้องใจเย็น ๆ แต่ก็ไม่ยาก หากฝึกฝนอยู่เป็นประจำ” เจ้าของงานกล่าว

ศศินันท์ปักหลักทำ “ตู้เสื้อผ้าตุ๊กตา” อยู่ที่ 245/12 ม.3 ต.บ้านสวน อ.เมือง จ.ชลบุรี โทร.08-1567-9961, 08-6387-7121 ใครสนใจผลงานก็คลิกเข้าไปดูได้ในเว็บไซต์ที่บอกไว้แล้วข้างต้น ซึ่งนี่ก็เป็นอีกชิ้นงานที่เด่นทั้งเรื่องไอเดียและการ “สร้างโอกาสจากกระแส” ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจไม่น้อย !!

ศิริโรจน์ ศิริแพทย์:รายงาน

'น้ำพริกแกงมัสมั่น'ทำขายรายได้รวยแน่

“น้ำพริกแกง” เป็นสิ่งที่อยู่คู่ครัวคนไทยมาช้านานแล้ว เป็นความภาคภูมิใจของคนไทยที่บรรพบุรุษรุ่นเก่าก่อนได้สร้างสรรค์อาหารจากการผสมผสานพืชพรรณต่าง ๆ ที่มีความหลากหลายในท้องถิ่น และในยุคต่อ ๆ มาจนวันนี้ อาชีพ “ขายน้ำพริกแกง” ก็เป็นอีกหนึ่ง “อาชีพเสริม สร้างรายได้” ที่ไม่ควรมองข้าม...

“บุญธรรม อุตเดช” หรือ “ยายบุญธรรม” เป็นเจ้าของร้านน้ำพริกแกงสำเร็จรูปแม่บุญธรรม ตลาดท่าน้ำนนทบุรี เจ้าของร้านนี้เล่าให้ฟังว่าก่อนจะมามีอาชีพทำน้ำพริกแกงขายเคยทำงานทอผ้า และขายผัก ซึ่งเพราะความที่เป็นคนชอบกิน ชอบทำ แล้วก็ชิมพวกแกงทุกชนิด เวลาไปทำบุญที่วัดทุกครั้งก็จะถือโอกาสชิมแกงที่วัดนั้น ๆ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง กระทั่งวันหนึ่งได้เจอกับเจ้าตำรับน้ำพริกแกง ชื่อ “แม่พวง” เป็นแม่ครัวของหลวงพ่อโอภาศรี วัดตลาดบางซื่อ ซึ่งเป็นแม่ของเพื่อน ซึ่งท่านทำแกงอะไร ๆ ก็อร่อย

“ทำให้เราต้องเดินทางมาที่วัดนี้บ่อย ๆ เพื่อมากินแกง แล้ววันหนึ่งก็บอกแม่พวงไปว่าสนใจอยากทำแกงได้อร่อยเหมือนของท่าน ต้องทำยังไงบ้าง แม่พวงท่านเห็นความตั้งใจของเรา ก็สอนให้โดยไม่หวงวิชาเลย สอนตั้งแต่การเลือกสมุนไพร เครื่องเทศ ส่วนผสมของแกง รวมถึงรสชาติของแกงแต่ละชนิดว่าควรเป็นอย่างไร ซึ่งสูตรส่วนผสมเครื่องแกงที่แม่พวงให้มานั้นเป็นแบบครกต่อครก”

จากนั้นก็นำสูตรที่ได้มาทดลองทำทีละอย่าง จนทุกอย่างเข้าที่ และก็อยากจะทำน้ำพริกแกงขาย เพื่อให้ทุกคนได้กินแกงที่อร่อย แต่ก็ต้องมากะสูตรต่อครกใหม่ ซึ่งใช้เวลานานประมาณ 2 ปีกว่าทุกสิ่งจะเริ่มลงตัว

สถานที่ซื้อวัตถุดิบมาทำ ก็ไม่ควรมองข้าม ซึ่งเจ้านี้เขาโชคดีตรงที่ร้านอยู่ในตลาดสดอยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหาเรื่องแหล่งวัตถุดิบ

น้ำพริกแกงร้านแม่บุญธรรมมีหลายอย่าง เช่น... น้ำพริกผัดพริกขิง, น้ำพริกแกงมัสมั่น, น้ำพริกแกงเผ็ด, น้ำพริกผัดเผ็ด, น้ำพริกแกงส้ม, น้ำพริกแกงเหลือง, น้ำพริกแกงกระหรี่, น้ำพริกแกงพะแนง, น้ำพริกแกงเผ็ด, น้ำพริกแกงไตปลา, น้ำพริกแกงเผ็ดใต้, น้ำพริกแกงเขียวหวาน, น้ำพริกเผา แต่ละอย่างราคาไม่แพง ราคาขาย กก.ละ 60-70 บาท นอกจากนี้ก็มีกะปิอย่างดีจากหลายจังหวัดที่มีชื่อด้านความอร่อย มาขายด้วย

ยายบุญธรรมบอกว่า คนขายสินค้าประเภทนี้ ต้องสามารถกะสัดส่วนของส่วนผสมแกงต่าง ๆ ให้กับลูกค้าได้ด้วย ทั้งเนื้อ น้ำพริกแกง และกะทิ รวมทั้งวิธีทำแบบคร่าว ๆ ด้วย
สำหรับอาชีพขาย “น้ำพริกแกง” นี้ อุปกรณ์ที่ใช้หลัก ๆ ก็มี... เครื่องบด หรือครก, กะละมัง, ทัพพี, กระทะ, ตะหลิว, เขียง, มีด เป็นต้น

ขณะที่ส่วนผสมน้ำพริกแกงต่าง ๆ ก็มีอาทิ... พริกแห้งเม็ดใหญ่ (พริกชี้ฟ้าแห้ง), หอมแดง, กระเทียม, ตะไคร้หั่นฝอย, ขาหั่นเป็นแว่น ๆ, รากผักชีหั่น, เกลือป่น, พริกไทย, ลูกจันทร์, ดอกจันทร์, เมล็ดผักชี, กานพลู, อบเชย, ลูกกระวาน, ยี่หร่า, เกลือ, น้ำมันพืช เป็นต้น
ร้านน้ำพริกแกง “ยายบุญธรรม” มีน้ำพริกแกงขึ้นชื่อหลายอย่าง เช่น “น้ำพริกแกงมัสมั่น”

ขั้นตอนการทำ “น้ำพริกแกงมัสมั่น” ยายบุญธรรมเปิดเผยว่า เริ่มจากผ่าพริกแห้งเอาเมล็ดออกทิ้ง แล้วหั่นหยาบ ๆ แช่น้ำทิ้งไว้สักครู่ เพื่อให้พริกแห้งนุ่ม เสร็จแล้วใช้มือบีบน้ำออก ใส่ภาชนะเตรียมไว้

จากนั้นนำพริกแห้งที่เตรียมไว้ใส่ครก ตามด้วยข่าหั่น ตะไคร้หั่น พริกไทย กระเทียม หอมแดง รากผักชีและเกลือป่น โขลกจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน พักไว้

ทำการคั่วพริกไทย ลูกจันทร์ ดอกจันทร์ เมล็ดผักชี ยี่หร่า ลูกกระวาน กานพลู และอบเชย ให้หอมเหลือง แล้วโขลกรวมกันให้ละเอียด จากนั้นตักขึ้นพักไว้ ก่อนจะนำไปโขลกรวมกับส่วนผสมของพริกให้เข้ากันดี แล้วนำไปผัดในน้ำมัน ใช่ไฟปานกลาง ผัดไปเรื่อย ๆ จนน้ำพริกมีกลิ่นหอม เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

ยายบุญธรรมบอกอีกว่า น้ำพริกแกงที่ร้านจะมีเอกลักษณ์ซึ่งทำให้มีลูกค้าประจำมาก คือจะมีกลิ่นหอมโชย รสชาติเข้มข้น และใช้สมุนไพรที่มีการเลือกสรรมาอย่างดี

ร้านน้ำพริกแม่บุญธรรมอยู่ในตลาดท่าน้ำนนทบุรี เปิดร้านตั้งแต่ตี 4 จนถึง 6 โมงเย็น ใครต้องการรับน้ำพริกแกงไปขายต่อ ก็ติดต่อสอบถามได้ที่ โทร.0-2526-7297, 0-2525-1403 ทั้งนี้ อาชีพ “ขายน้ำพริกแกง” นั้นทำเงินแบบไม่ธรรมดาได้...ถ้ามีสูตรเด็ด ใครพอมีฝีมือทางนี้ก็ลองหาสูตรมาฝึกฝน-หาทำเลขายกันดู

เชาวลี ชุมขำ :รายงาน / จเร รัตนราตรี :ภาพ

‘พวงกุญแจคู่รัก’ โดนใจวัยรุ่น ‘ขายได้รวยแน่’


ปัจจุบันตลาดงานแฮนด์เมดมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ตลาดก็มีการแข่งขันกันสูง เพราะฉะนั้น สินค้าแฮนด์เมด งานขายไอเดียจินตนาการ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมองหาจุดขายโดยการสร้างความแตกต่างให้กับสินค้า อย่างงาน “พวงกุญแจคู่รัก” ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอในวันนี้ ก็เป็นตัวอย่างที่ดี...
กดกดกดกด

“มีน-สุภารัตน์ จันทรเชย” เจ้าของงาน “พวงกุญแจคู่รัก” ชื่อแบรนด์ว่า “meannemod” เล่าว่า งานตัวนี้เริ่มทำมาตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรีแล้ว เรียนทางด้านออกแบบนิเทศศิลป์ พอดีในมหาวิทยาลัยมีการจัดงานให้นักศึกษานำงานแฮนด์เมด มาจำหน่าย ตอนนั้นก็เกิดความสนใจและพยายามคิดทำสินค้าไปขาย

ตอนนั้นทำ “พวงกุญแจ” ที่เป็นไม้ เพราะเป็นงานที่ทำไม่ยาก และสมัยนั้นส่วนใหญ่คนมักจะทำเป็นพวกโลหะหรือพลาสติก ก็ใช้เทคนิคการพิมพ์ที่เรียนทำการพิมพ์ภาพติดลงบนไม้ แต่แรก ๆ ดูแล้วไม่น่าสนใจ จนในที่สุดก็ได้ไอเดียนำเทคนิคการวาดรูปการ์ตูนคิกขุเป็น “คู่รัก” แล้วลงสีให้สดใส

เมื่อทำออกจำหน่ายก็ได้รับการตอบรับจากเพื่อน ๆ นักศึกษาเป็นอย่างดี จึงมีความคิดที่จะขยายตลาดออกมาจำหน่ายข้างนอก ก็เปิดร้านขายที่ตลาดรัชดาฯ แยกรัชดาฯ ก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี

“การทำพวงกุญแจคู่รักโดยใช้เทคนิคการวาดรูปนั้นไม่ยาก เพราะเป็นลายเส้นที่ไม่ยากมากเกินไป สำหรับคนที่ไม่มีทักษะทางด้านการวาดรูปก็สามารถฝึกทำได้ เริ่มจากดูแบบจากรูปการ์ตูนแล้ววาดตาม จากนั้นก็ลงสีตามจินตนาการเท่านั้น ลองฝึกดูไม่นานก็จะชำนาญ”

อย่างไรก็ตาม เจ้าของไอเดียกล่าวต่ออีกว่า งานวาดนั้นไม่ยากก็จริง แต่ที่ยากนั้นอยู่ที่การออกแบบ คิดแบบ เพราะแบบแต่ละลายนั้นจะต้องคิดออกมาใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่ให้ซ้ำ ให้ลูกค้าได้มีตัวเลือกหลากหลาย แบบส่วนใหญ่ที่คิดออกมานั้นจะดูตามอินเทอร์เน็ต แล้วนำมาดัดแปลงประยุกต์เป็นแบบของตัวเอง โดยจุดเด่นของพวงกุญแจคู่รักจะเน้นวาดลายการ์ตูนที่ “น่ารักคิกขุ” สีสันสดใสสวยงาม ซึ่งถูกตาต้องใจกลุ่มวัยรุ่น

วัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ทำ มีดังนี้... แผ่นไม้อัด, สว่าน, เลื่อยฉลุมือหรือไฟฟ้า, สีโปสเตอร์, พู่กัน เบอร์ 8-4-1, เคลียร์เคลือบเงา, ดินสอ, สติกเกอร์ใส และโซ่ (สำหรับร้อยเป็นที่ห้อย ใช้เป็นลักษณะไข่ปลา)

“แผ่นไม้อัดที่ใช้นั้นจะใช้ขนาด เอ1 ใช้ชนิดที่แผ่นหนาอย่างดี เพราะถ้าใช้ไม้อัดแผ่นบางเวลาลงสีแล้วจะทำให้ไม้เป็นขุย งานออกมาไม่สวย ส่วนสีนั้นที่จำเป็น ๆ ก็คือแม่สี แดง เหลือง น้ำเงิน และที่ต้องเพิ่มเข้ามาก็คือ สีขาว สีดำ สีน้ำตาล คุณสมบัติของสีโปสเตอร์นั้นเป็นสีที่แห้งเร็ว ทำให้สามารถทำงานได้เร็ว”

ขั้นตอนการทำเริ่มจาก...นำแผ่นไม่อัดขนาด เอ1 มาทำการวาดตีตารางเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 4.5 x 6.5 เซนติเมตร เป็นไซซ์ที่ใช้ทำพวงกุญแจ วาดจนเต็มแผ่นไม้อัด จากนั้นก็ใช้สว่านเจาะรูสำหรับใส่สายห้อยจนครบทุกชิ้น และจึงนำไปใช้เลื่อยฉลุตัดออกเป็นชิ้น ๆ ก็จะได้แผ่นไม้เป็นชิ้น ๆ ขนาด 4.5 x 6.5 เซนติเมตร

ไม้อัดทั้งแผ่นจะตัดแบ่งทำพวงกุญแจได้ประมาณ 100 ชิ้น

เมื่อตัดแผ่นไม้อัดเรียบร้อยแล้วก็นำกระดาษทรายขัดขอบให้เรียบ จากนั้นก็นำแผ่นไม้อัดที่ตัดไว้มา 2 ชิ้น คิดแบบลายที่จะวาด ใช้ดินสอวาดโครงร่างของตัวการ์ตูนตามแบบที่คิดไว้ลงไปบนแผ่นไม้

เมื่อวาดเสร็จก็ทำการลงสี

การลงสีนั้นก็ตามจินตนาการ โดยเริ่มลงสีจากพื้นที่ส่วนที่กว้างสุดก่อน นั่นก็คือพื้นหลัง แล้วจึงลงสีที่เสื้อผ้าของตัวการ์ตูน ตามด้วยลงสีผิว สีผม และแต่งตา จมูก ปาก หรือรายละเอียดอื่น ๆ ตามลำดับ

จากนั้นก็ใช้สีดำทำการตัดเส้น ใช้เคลียร์พ่นเคลือบเงา ใช้สติกเกอร์ใสติดทับอีกที เท่านี้ก็เรียบร้อย แต่ถ้าลูกค้าต้องการให้เขียนชื่อลงบนชิ้นงานด้วย ก็ต้องเขียนชื่อก่อนแล้วจึงค่อยติดสติกเกอร์ทับ

พวงกุญแจคู่รักนี้ ขายคู่ละ 50 บาท ถ้าเป็นชิ้นเดียวเดี่ยว ๆ ก็ราคา 25 บาท หากเป็นแบบชิ้นเล็กก็ราคา 15 บาท แต่ถ้าซื้อเกิน 20 ชิ้นขึ้นไป ราคาก็จะลดลงอีกนิดหน่อย ซึ่งต้นทุนจะประมาณ 50% ของราคา
กดกดกดกด

ใครสนใจ “พวงกุญแจคู่รัก” ถ้าอยู่ในกรุงเทพฯ ก็ไปดูได้ที่แยกรัชดาฯ ตลาดรัชดาไนท์ ซอย 1 ช่วงกลาง ๆ ซอย มีน-สุภารัตน์จะเปิดขายเฉพาะคืนวันเสาร์ หรือต้องการสั่งออร์เดอร์เพื่อไปจำหน่ายต่อเป็นอาชีพ ก็โทรศัพท์ไปคุยกับมีนได้ที่ โทร.08-5862-9641 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกตัวอย่างงานแฮนด์เมดที่น่าสนใจ.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน/จเร รัตนราตรี : ภาพ

‘ทองพับแคลเซียม’ เพิ่มคุณค่า-เพิ่มจุดขาย


ขนมธรรมดา สามารถทำให้ไม่ธรรมดาได้ด้วยการนำคุณค่าทางอาหารมาเสริมเข้าไป ทำให้ขนมไทยกลายเป็นอาหารสุขภาพ กลายเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่สนใจมากขึ้น อย่างเช่น “ทองพับเสริมแคลเซียม”

ปลั่ง เสนาะคำ เจ้าของผลิตภัณฑ์ “ทองพับเสริมแคลเซียม” ยี่ห้อ “คุณย่าปลื้ม” เล่าว่า เดิมเปิดร้านข้าวแกงและของชำ ต่อมาเข้าร่วมโครงการกับสถาบันวิจัยโภชนาการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อาหารว่างสุขภาพ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งก็ได้เลือกทำทองพับเสริมแคลเซียม และกลายมาเป็นรายได้เสริมที่ดีทีเดียว

การทำทองพับเสริมแคลเซียมนั้น อุปกรณ์ที่ใช้มี อาทิ ชามผสม ที่ตีไข่ เกรียงแซะอาหาร กระชอนร่อนแป้ง ถ้วยตวง ช้อนตวง และเครื่องพิมพ์ปิ้งทองพับไฟฟ้า 2 หัว ส่วนวัตถุดิบ ได้แก่ แป้งสาลีอเนกประสงค์ 700 กรัม, น้ำตาลทราย 300 กรัม ต้มเป็นน้ำเชื่อมได้ 1 กก., เกลือไอโอดีน 10 กรัม, กะทิมะพร้าว 500 กรัม, นมถั่วเหลืองต้มไม่ใส่น้ำตาล 500 มล. (ใช้ทดแทนกะทิร้อยละ 50 เพื่อลดปริมาณไขมันอิ่มตัว), น้ำปูนใส 150 กรัม, ไข่ไก่ 6 ฟองเล็ก, งาดำคั่ว 50 กรัม, น้ำเปล่า 720 มล. และ ไตรแคลเซียมฟอสเฟต 15.6 กรัม (ผงแคลเซียม)

ปริมาณส่วนผสมข้างต้น เป็นแป้งที่เตรียมไว้ทั้งหมด 5 สูตร แต่แบ่ง 4 ส่วนใช้กับแต่ละรส รสละ 1 ส่วน ซึ่งเมื่อผสมออกมาแล้วจะได้ส่วนผสมแป้งที่เมื่อแบ่งออกเป็น 4 ส่วน จะได้ส่วนละประมาณ 760 กรัม

4 รสที่ว่าก็มี รสกล้วยหอม ใช้กล้วยหอมสุกงอม 300 กรัม ผสมแป้ง 1 ใน 4 ส่วน, รสเผือก ใช้เผือกต้มบดละเอียด 300 กรัม, รสฟักทอง ใช้ฟักทองต้มบดละเอียด 300 กรัม และ รสดั้งเดิม ไม่ต้องผสมอะไร

การใช้กล้วย, เผือก และฟักทอง เป็นการดัดแปลงให้เพิ่มคุณค่าสารอาหารที่เป็นประโยชน์อื่น ๆ ได้ด้วย

วิธีทำ เริ่มที่แช่ปูนที่กินกับหมาก 0.5 กก. กับน้ำสะอาดในปริมาณที่ให้ท่วมปูนอีก 4 เท่า คนให้ละลาย ตั้งทิ้งไว้ให้ใส ตักส่วนที่ใสไว้ใช้ นำแป้งสาลีมาร่อนด้วยตะแกรง 1 ครั้งก่อนนำไปผสมกับผงแคลเซียม คนให้เข้ากัน ไม่ต้องร่อน เพราะผงแคลเซียมจะติดตะแกรงง่าย นำน้ำตาลไปต้มกับน้ำ เคี่ยวเป็นน้ำเชื่อมให้ได้ 500 มล.

จากนั้นผสมแป้งกับกะทิ นมถั่วเหลือง น้ำเชื่อม น้ำปูนใส ใช้ที่ตีไข่กวนผสมให้เนียนเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน และตามด้วยไข่ไก่ ตอกรวมตีให้แตกก่อนนำไปใส่รวมในส่วนผสม ใส่ไข่ลงในส่วนผสม แล้วคนให้ส่วนผสมเข้ากันจนเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ตามด้วยการใส่เกลือป่น งาคั่ว ลงไปในส่วนผสม

สำหรับการเตรียมรส ไม่ว่าจะเป็นเผือก ฟักทอง กล้วยหอม แต่ละรสก็ผสมกับส่วนผสมแป้ง 1 ใน 4 ส่วน กวนผสมแป้งกับรสต่าง ๆ ให้เนียนจนเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน

หรือถ้าจะทำเป็น รสผักหวาน ก็ล้างผักให้สะอาด หั่นฝอย นำไปอบไฟอ่อนประมาณ 45 นาที ให้น้ำหนักเหลือ 1 ใน 3 หรือจะทำเป็น รสใบมะรุม อันนี้ไม่ต้องหั่นฝอย รูดใบแล้วนำไปอบได้ ซึ่งการอบช่วยให้ใบผักแห้งสนิท นำไปใช้โรยหน้าทองพับขณะปิ้ง

ขั้นตอนการปิ้งทองพับ เริ่มที่เปิดเครื่องพิมพ์ทองพับไฟฟ้า ตั้งอุณหภูมิที่ 80 องศาเซลเซียส รอให้เครื่องร้อนก่อนใช้ โดยหมั่นคนส่วนผสมให้เข้ากันทุกครั้งก่อนที่จะตักแป้งหยอดใส่พิมพ์ เพื่อให้ได้ส่วนผสมสม่ำเสมอทุกแผ่น เพราะแป้งจะตกตะกอนนอนก้น ใช้น้ำมันพืชทาพิมพ์เล็กน้อย จากนั้นจึงค่อยตักแป้งหยอดลงบริเวณกลาง ๆ พิมพ์ ปิดพิมพ์เบา ๆ เพื่อไล่แป้งให้กระจายสม่ำเสมอทั่วพิมพ์ก่อน จึงค่อยออกแรงกดพิมพ์ให้แน่น จะได้แผ่นทองพับที่บาง ปิ้งไฟไว้จนแป้งขนมสุกและมีกลิ่นหอม จึงใช้เกรียงแซะขนมออกจากพิมพ์

การปิ้งขนมให้กรอบอร่อยให้สังเกตสีขนม ควรมีสีเหลืองออกน้ำตาลอ่อนเล็กน้อย เมื่อขนมสุกแล้ว ผึ่งไว้ให้เย็นก่อนบรรจุถุงพลาสติกใส ปิดปากถุงด้วยเครื่องรีด เก็บในปี๊บขนม จะเก็บได้นานประมาณ 1 เดือน

สำหรับสูตรที่ระบุมาข้างต้น ถ้าทำ 4 รส จะได้ขนมรสละประมาณ 60 แผ่น น้ำหนักแผ่นละประมาณ 6 กรัม จะได้ขนมทั้งหมดประมาณ 240 ชิ้น ใส่ถุงจำหน่ายถุงละ 17 ชิ้น ขายราคาถุงละ 20 บาท ขายหมดจะได้ 280 บาท โดยมีต้นทุนวัตถุดิบประมาณ 70-80 บาท

ผลิตภัณฑ์ “ทองพับเสริมแคลเซียม” เจ้านี้ขายอยู่ที่บ้านเลขที่ 22 หมู่ 3 ต.ดอนแฝก อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม โทร. 0-3423-9898 ส่วนสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ยังมีสูตรอาหารว่างสุขภาพอีกหลายชนิด ใครสนใจสอบถามไปที่ อ.อรพินท์ บรรจง โทร. 0-2800-2380 ต่อ 314 (ในวันและเวลาราชการ).

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน


ที่มา เดลินิวส์

เสื้อผ้า เครื่องแต่ง สำหรับสุนัขธุรกิจมาใหม่

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาในคอลัมน์คิดทำได้กำเงิน หน้าช่องทางทำกิน ได้นำเสนอข้อมูลสั้น ๆ เกี่ยวกับการทำ “เสื้อผ้าสุนัข” เพื่อให้ครบเครื่อง วันนี้ใน “ถอดรหัสอาชีพ” ผมเลยมาต่อยอดให้อีกหน่อย กับการทำ “ธุรกิจเสื้อผ้าและเครื่องประดับสำหรับสุนัข” โดยเป็นข้อมูลจากเว็บไซต์ www.sme.go.th ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ในหมวด เจาะเคล็ดอาชีพเด็ด SMEs

จากข้อมูลซึ่งอ้างอิงจากผู้ที่ประกอบการจริง สรุปได้ว่า... ธุรกิจนี้ถ้าทำเล็ก ๆ ก็ใช้เงินทุนเบื้องต้นประมาณ 20,000 บาท ถ้ากิจการไปได้ดีก็น่าจะมีรายได้ราว ๆ 35,000–40,000 บาท/เดือน โดยสินค้าของธุรกิจนี้ หลัก ๆ ก็อาทิ... เสื้อกล้ามสุนัข, เสื้อกันหนาวสุนัข, กระโปรงสำหรับสุนัข, แผ่นอนามัยสำหรับสุนัข, เครื่องประดับสำหรับสุนัข, ของตกแต่งต่าง ๆ ซึ่ง แหล่งซื้อวัตถุดิบมาตัดเย็บ ก็เช่น ประตูน้ำ, โบ๊เบ๊, สำเพ็ง

ธุรกิจเสื้อผ้าและเครื่องประดับสำหรับสุนัข วิธีการสร้างความแตกต่างและจูงใจลูกค้า ก็เช่น มีสุนัขเป็นหุ่นทดลองการสวมใส่ให้ลูกค้าได้เห็นจริง เพื่อช่วยสร้างแรงจูงใจในการซื้อสินค้า เพื่อให้เกิดการตัดสินใจในการจับจ่ายของลูกค้าได้ง่ายขึ้น โดยที่ใครจะทำอาชีพนี้ควรจะเริ่มจากความชอบ มีพื้นฐานเป็นคนรักสัตว์เลี้ยง

อาจจะเริ่มจากสินค้าไม่กี่ชนิด ใช้ความรู้และความชอบของตนเองมาดัดแปลงให้เข้ากับสุนัข แล้วเมื่อกิจการมีแนวโน้มดี ได้รับการตอบรับดี จึงค่อย ๆ ขยับขยายการขายสินค้าให้มีสินค้าหลากหลายมากขึ้น ซึ่งก็ต้องศึกษาโครงสร้างของสุนัข ต้องศึกษาข้อมูลการทำเสื้อผ้าสุนัข โดยจะต้องมีการดีไซน์ จะต้องมีแบบใหม่ ๆ และต้องเรียนรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของสุนัข เพื่อให้สามารถผลิตสินค้าที่ง่ายต่อการสวมใส่ของสุนัข

ที่สำคัญคือต้องสำรวจตลาดก่อน วิเคราะห์กลุ่มลูกค้า เพื่อทำสินค้าให้ตรงกับกลุ่มผู้ซื้อ โดยคำนึงถึงระดับราคา และการเลือกทำเลขายสินค้า ก็ต้องให้ความสำคัญเช่นกันนะครับ !!

ต่อกันด้วย... นิตยสาร วูแมน แอนด์ โฮม (woman&home) ในเครือ อินสไพร์ เอนเตอร์เทนเม้นท์ จะเปิดคลาสพิเศษ “สอนปั้นตุ๊กตาดิน” เรียนรู้การปั้นตุ๊กตาผู้หญิง เพลิดเพลินกับการปั้นดินด้วยสองมือและหัวใจ ชื่นชมกับผลงานที่ตัวเองเป็นผู้รังสรรค์ สอนโดย องุ่น-เกณิกา สุขเกษม ประติมากรเจ้าของรูปปั้นหญิงสาวที่มีลีลาท่าทางอันอ่อนช้อยและเต็มไปด้วยความรู้สึก คลาสพิเศษนี้จะจัดขึ้นใน วันอาทิตย์ที่ 20 ก.ย. 2552 เวลา 13.30-17.30 น. ที่สวนสามพราน บรรยากาศริมน้ำ คลาสนี้คิดค่าใช้จ่ายคนละ 1,500 บาท (สมาชิกนิตยสารลด 20% เหลือ 1,200 บาท) รวมค่าดิน อุปกรณ์การปั้น ค่าเผา อาหารว่างและเครื่องดื่ม รับสมัครเพียง 20 คน ใครสนใจเข้าร่วมสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณปิยฉัตร โทร. 0-2508-8100 ต่อ 8114, 08-6304-5518

‘อาหารก๊อปปี้’ สร้างเลียนแบบ ขายดีสุดๆ


ของไม่จริง...แต่ทำเงินได้จริง

ก๊อบปี้-ลอกเลียนแบบ กับหลาย ๆ อย่างผิดกฎหมาย แต่กับบางอย่างก็เป็นช่องทางทำเงินที่ถูกกฎหมาย แถมทำเงินได้น่าทึ่ง อย่างเช่นงาน “โมเดลอาหารจำลอง” ที่เป็น “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจ...

“นิธินันท์ ธนันศิริเชษฐ์” เจ้าของร้านกิ๊ฟท์เก๋ มีอาชีพรับบริการผลิตโมเดล “อาหารจำลอง” เจ้าตัวเล่าว่า จากการที่ร้านอาหารต่าง ๆ เกิดความต้องการโมเดลอาหารจำลอง เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการวางโชว์สินค้าที่เป็นของจริง ๆ ซึ่งระยะแรกจะเป็นการนำเข้าจากต่างประเทศเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เนื่องจากระยะหลังร้านอาหารไทยแท้ ๆ ก็ต้องการใช้ ขณะที่โมเดลนำเข้าส่วนใหญ่จะเป็นอาหารต่างประเทศ จึงคิดกันว่าในบ้านเราก็มีคนทำที่มีฝีมืออยู่ จึงคิดว่าน่าจะสามารถนำมาพัฒนาเป็นธุรกิจได้ จึงตัดสินใจลงมือทำอาชีพนี้

งานโมเดลอาหารจำลองนี้เริ่มแพร่หลายมาจากประเทศญี่ปุ่น ส่วนในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเป็นที่รู้จักจากวงการโฆษณาในรูปแบบของการทำ ม็อคอัพ (Mockup) ซึ่งเริ่มนิยมในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยระยะแรกยังไม่ค่อยมีกระแสตอบรับมากนัก เนื่องจากร้านค้าและลูกค้ายังมีทัศนคติแง่ลบกับอาหารจำลองอยู่ ต่อมาเมื่อเศรษฐกิจเริ่มไม่ดี ลูกค้าต่างก็พยายามลดต้นทุน ซึ่งอาหารที่วางโชว์หน้าร้านก็ถือเป็นต้นทุน จึงทำให้อาหารจำลองได้รับความนิยม เรียกว่าสวนกระแสสินค้าอื่น ๆ เลยทีเดียว

“หลังเศรษฐกิจขาลง ลูกค้าก็เพิ่มขึ้น เพราะลูกค้าต้องการตัดค่าใช้จ่ายในการใช้วัตถุดิบจริงหรืออาหารจริงมาโชว์ อีกเรื่องคืออายุการใช้งาน อาหารจริงที่นำมาวางโชว์จะมีระยะเวลาใช้งานไม่นาน ขณะที่อาหารจำลองสามารถเก็บได้ไม่ต่ำกว่า 5 ปี หากลูกค้าไม่เปลี่ยนเมนูไปเสียก่อน”

รูปแบบสินค้า นิธินันท์บอกว่า หลัก ๆ ก็จะแบ่งประเภทเป็น อาหารคาว (แบ่งออกเป็น อาหารไทย อาหารต่างประเทศ) อาหารหวาน และ เครื่องดื่ม นอกจากนี้ก็ยังมีโมเดลจำลองที่เป็นวัตถุดิบของร้านอาหาร อาทิโมเดลรูป ไก่, เป็ด, หมูย่าง, หมูกรอบ, หมูแดง, ผัก และผลไม้ โดยกลุ่มลูกค้ามีทั้งร้านอาหารในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงบริษัทโฆษณาที่ต้องการสินค้าจำลองสำหรับใช้ในการถ่ายทำโฆษณา

ช่องทางการจำหน่ายโมเดล “อาหารจำลอง” นอกจากเปิดหน้าร้านแล้ว ก็ยังมีการใช้ระบบไอที-อินเทอร์เน็ตเข้ามาช่วยด้วย โดยมีการจัดทำเว็บไซต์ www.giftkaeshopping.com สำหรับติดต่อกับลูกค้า โดยลูกค้าสามารถส่งภาพถ่ายที่ต้องการทำมาให้ทางร้านได้ด้วยวิธีนี้

เมนูอาหารจำลองแต่ละเมนู ใช้ระยะเวลาในการทำราว 10 วัน หรือขึ้นอยู่กับความยากง่าย สำหรับราคาจำหน่ายชิ้นงานสำเร็จรูป และรับสั่งทำโมเดลอาหารจำลอง นิธินันท์บอกว่า เริ่มตั้งแต่ชิ้นละ 7 บาท ไปจนถึงชิ้นละ 10,000 บาท ขึ้นกับขนาด ความยากง่ายของชิ้นงานเป็นสำคัญ

ทุนเบื้องต้นธุรกิจนี้ อยู่ที่ประมาณ 5,000-10,000 บาท ขึ้นอยู่กับกลุ่มลูกค้า-รูปแบบสินค้าที่ทำ โดยถ้าหากต้องการทำชิ้นงานที่มีขนาดใหญ่และมีความละเอียดมาก ก็อาจจำเป็นต้องลงทุนในเรื่องของอุปกรณ์มากหน่อย โดยวัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ ก็เช่น คัตเตอร์, กรรไกร, เรซิ่นเหลว, ดินญี่ปุ่น, พู่กันสำหรับระบายสี หรือเครื่องพ่นแอร์บรัช กรณีทำงานชิ้นใหญ่-งานที่มีความละเอียดมาก

ส่วนทุนวัตถุดิบจะอยู่ที่ประมาณ 50% ของราคาขาย

“เครื่องมือที่ใช้ทำอาหารจำลองนี้ ก็เหมือนเครื่องมือที่ใช้ในงานปั้นหรือดอกไม้ประดิษฐ์จากดินญี่ปุ่น ซึ่งถ้าหากใครที่มีทักษะงานดอกไม้ประดิษฐ์จากดินก็สามารถหัดทำได้ไม่ยาก เพราะใช้ทักษะเดียวกัน เพียงแต่อาศัยจินตนาการมากกว่า โดยอาจใช้ภาชนะสำหรับใส่อาหารจริงเพื่อเพิ่มความสมจริงของชิ้นงานได้ด้วย”

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากการขึ้นแบบ อาจใช้วิธีแกะแบบโดยใช้การหล่อจากอาหารหรือวัตถุดิบจริง เพื่อขึ้นรูปเป็น “โมล” หรือ “แบบพิมพ์” หรืออาจใช้วิธีปั้นขึ้นรูปจากดินญี่ปุ่น หรือแกะโฟมขึ้นรูปเพื่อเป็นส่วนประกอบต่าง ๆ ไว้ก่อนล่วงหน้า ก่อนจะประกอบเป็นชิ้นงานอีกที ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับขนาดและความถนัด

เมื่อได้แบบพิมพ์แล้ว ก็หล่อ เรซิ่นเพื่อขึ้นรูป ส่วนประกอบสำคัญของเมนูอาหารจำลองนั้น ๆ โดยอาจทำเป็นส่วนประกอบต่าง ๆ ให้เสร็จก่อน จากนั้นจึงค่อย ๆ นำมาบรรจงจัดวาง ซึ่งมีขั้นตอนคล้ายกับการทำอาหารจริงเช่นกัน ทำการลงสีส่วนประกอบต่าง ๆ ตามต้องการ โดยเน้นที่ความสมจริง แล้วทำการเทเรซิ่นเหลวปิดทับเพื่อเชื่อมส่วนประกอบต่าง ๆ ให้ติดกันเป็นเนื้อเดียว เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ

“งานโมเดลอาหารจำลองนี้ โอกาสที่ไอเดียจะตันแทบไม่มี เนื่องจากรูปแบบส่วนใหญ่ลูกค้าเป็นคนคิด เรามีหน้าที่ผลิตตามความต้องการของลูกค้า แต่ก็อาจจะให้คำแนะนำลูกค้าบางเรื่อง เกี่ยวกับองค์ประกอบ การให้สี การจัดวาง ซึ่งจุดที่สำคัญสำหรับคนทำอาชีพนี้คือต้องซื่อสัตย์ เพราะหากใช้วัสดุไม่ดี ขี้เหนียววัสดุในการทำก็อาจมีผลต่อหน้าตาสินค้าของลูกค้า” เจ้าของธุรกิจผลิต “อาหารจำลอง” กล่าวแนะนำทิ้งท้าย

สนใจงานของ นิธินันท์ ร้านกิ๊ฟท์เก๋อยู่ที่ เจ.เจ.มอลล์ ชั้น 2 ห้อง s302 โทร. 08-4940-7995 หรือดูในเว็บไซต์ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกอาชีพของคนช่างคิดช่างทำ ก๊อบปี้จากของจริงที่ถูกกฎหมาย และทำเงินงาม.

ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : รายงาน

‘ลูกเดือยทอดกรอบ’ สมุนไพรทำเงิน

ผสมสมุนไพร-ขายสุขภาพ
ขนมกรุบกรอบทานเล่นจากโรงงานใหญ่ ๆ ที่มีวางขายตามท้องตลาดนั้น บ้างก็มีประโยชน์น้อย บ้างก็มีราคาสูง ซึ่งนี่ก็เป็นช่องว่างทางการตลาดสำหรับรายย่อย เป็น “ช่องทางทำกิน” จากการผลิตขนมกรุบกรอบที่มีประโยชน์-ราคาไม่แพง อย่างการทำ “ลูกเดือยทอดกรอบสมุนไพร” ขาย ก็น่าสนใจ...

ชมพูนุช เผื่อนพิภพ อาจารย์สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มทร.พระนคร เปิดเผยว่า จากการทำโครงการเกษตรอินทรีย์เป็นผลิตภัณฑ์ เมื่อลงพื้นที่ในต่างจังหวัดก็พบพวกธัญพืชต่าง ๆ เป็นที่นิยมมาก แล้วก็เห็น “ลูกเดือย” ซึ่งใคร ๆ ก็คิดว่านำไปต้มได้เพียงอย่างเดียว

แต่เมื่อพิจารณาดูแล้ว เห็นว่าน่าจะทำเป็นอย่างอื่นได้ อาทิ อาหารทานเล่นแบบกรุบกรอบ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ โดยลูกเดือยมีสารอาหารที่มีประโยชน์แก่ร่างกายมากมาย

เช่น ใยอาหาร วิตามินเอ วิตามินบี 1 ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคล เซียม และยังมีสรรพคุณเป็นยาเย็น ใช้บำบัดอาการหลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ น้ำคั่งในปอด แก้ร้อนใน บำรุงไต บำรุงกระเพาะอาหารและม้าม ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ บำรุงสตรีหลังคลอด ช่วยย่อยอาหาร และเจริญอาหาร

ทั้งหมดคือคุณประโยชน์ของเจ้าเม็ดกลม ๆ อ้วน ๆ ที่เรียกว่า “ลูกเดือย”

ส่วน “ลูกเดือยทอดกรอบสมุนไพร” ที่คิดทำขึ้นมา นอกจากลูกเดือยแล้ว ยังมี ใบมะกรูด, พริกไทยดำ เป็นสมุนไพรที่เพิ่มกลิ่นและสีสันให้มีความน่ารับประทานมากขึ้น และมีประโยชน์มากขึ้น

ลูกเดือยทอดกรอบสมุนไพร มีวัตถุดิบและวิธีการทำดังนี้คือ...

วัตถุดิบก็มี ลูกเดือย 250 กรัม, ใบมะกรูด 45 กรัม, เมล็ดพริกไทยดำ 20 กรัม, น้ำตาลทรายขาว 30 กรัม, เกลือป่น 5 กรัม และน้ำมันพืช (สำหรับทอด) 0.5 ลิตร

ส่วนวิธีทำ...เริ่มจากนำลูกเดือยแช่น้ำสะอาดนาน 1 คืน แล้วต้มให้สุก เมื่อสุกแล้วตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำ นำไป อบในตู้อบที่อุณหภูมิ 60 องศา เซลเซียส นาน 4-6 ชั่วโมง วิธีนี้จะทำให้ลูกเดือยเมื่อทอดแล้วจะพองฟูและมีความกรอบนุ่ม ไม่แข็งกระด้าง (หากไม่มีตู้อบให้ใช้วิธีการตากแดดให้ แห้งแทน)

ขั้นตอนต่อมา ทอดลูกเดือยในน้ำมันที่ร้อนจัด จนพองฟูและมีสีเหลืองทอง นำขึ้นสะเด็ดน้ำมัน โดยแบ่งทอดทีละน้อย เตรียมหั่นใบมะกรูดเป็นฝอยลงทอดให้กรอบดี และทอดเมล็ดพริกไทยดำให้พอสุก พักไว้

วิธีการคลุกเคล้าส่วนผสม นำลูกเดือยทอดกรอบ + ใบมะกรูดทอดกรอบ + เมล็ดพริกไทยทอดกรอบ + น้ำตาลทราย + เกลือ ใส่ลงในถุงพลาสติกชนิดที่ไม่มีหูหิ้ว ขนาดกว้าง 8 นิ้ว แล้วเขย่าให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน

หากทำในปริมาณมาก ใช้ภาชนะขนาดใหญ่ที่มีฝาปิดแทนถุงได้ จากนั้นนำใส่ภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด พร้อมขาย ซึ่งสามารถเก็บไว้รับประทานได้นาน และเหมาะสำหรับเป็นของรับประทานเล่นของผู้ที่รักสุขภาพ

อ.ชมพูนุชบอกว่า ตามสูตรนี้หากบรรจุใส่ภาชนะ 25 กรัม จะได้จำนวนประมาณ 14 กระปุก ขายในราคากระปุกละ 20 บาท ก็จะได้ 280 บาท ส่วนต้นทุนวัตถุดิบต่าง ๆ ตกอยู่ที่ประมาณ 170 บาท

นอกจากนี้ อ.ชมพูนุช ยังได้แนะนำเคล็ดลับเพิ่มเติมอีก 2 ประเด็นคือ หากชอบให้รสชาติเคลือบติดอยู่กับผิวลูกเดือย สามารถใช้วิธีการฉาบได้ โดยนำน้ำตาลและเกลือตั้งไฟเคี่ยวให้เหนียวแล้วจึงใส่ลูกเดือยทอดลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน หรืออาจเปลี่ยนจากน้ำตาลและเกลือเป็นเนยหรือช็อกโกแลตได้

รวมถึง สามารถเปลี่ยนรสชาติด้วยผงปรุงรสสำเร็จรูปได้หลากหลาย เช่น รสต้มยำ, รสพิซซ่า, บาร์บิคิว โดยรสชาติเหล่านี้การจะใช้ก็ไม่ยุ่งยาก เพราะมีผงปรุงรสสำเร็จรูปขาย ส่วนแต่ละรสจะใช้ปริมาณมากน้อยเท่าไร ก็กะดูว่าต้องการให้ลูกเดือยมีรสชาติจัดจ้านเพียงใด

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นรสต้มยำ ในปริมาณวัตถุดิบข้างต้นนั้น ควรจะใช้ผง ปรุงรสต้มยำประมาณ 25 กรัม ซึ่งก็เป็นการใช้แทนเกลือป่น และน้ำตาลทรายขาว

สนใจเรื่อง “ลูกเดือยทอดกรอบสมุนไพร” ต้องการติดต่อ อ.ชมพูนุช เผื่อนพิภพ ก็ไปได้ที่คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มทร.พระนคร หรือ โทร. 0-2281-9231-4 ต่อ 1201-3

บางทีนี่อาจจะเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ดีสำหรับคุณ.

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล http://www.dailynews.co.th

‘ผีเสื้อใบยาง’ เลียนแบบธรรมชาติ

“ใบยางพารา” ปัจจุบันมีการนำมาสร้างสรรค์งานประดิษฐ์ต่าง ๆ หลายรูปแบบ จากวัสดุที่ไม่มีราคา แต่ถ้ามีไอเดีย รวมกับฝีมือทางการประดิษฐ์ ก็สามารถสร้างงาน-สร้างเงินได้ อย่างเช่นชิ้นงาน “ผีเสื้อจากใบยางพารา” ที่สร้างรายได้เข้ากระเป๋าได้อย่างน่าสนใจ ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมาให้ลองพิจารณากัน...
กดกดกดกด

วุฒิพร สมหมั่น เจ้าของร้าน “Wutda” ที่ตลาดนัดจตุจักร เป็นเจ้าของผลงาน “ผีเสื้อจากใบยางพารา” เล่าย้อนให้ฟังว่า...จริง ๆ แล้วจบมาทางด้านคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่ด้านศิลปะ หลังจากจบมาก็ได้เข้าทำงานอยู่ที่บริษัทเอกชน แต่ด้วยความที่เป็นคนที่ชื่นชอบงานศิลปะ จึงมาจับงานด้านศิลปะเป็นอาชีพเสริม

แรก ๆ ที่ทำจำหน่ายจะเป็นงานสาน อุปกรณ์จับสัตว์น้ำจำพวกไซ ที่ ดัดแปลงทำเป็นของตกแต่งบ้าน ซึ่งไซจับปลามีความเชื่อว่าเป็นเครื่องรางดักจับทรัพย์ด้วย ก็เป็นงานที่ได้รับความสนใจจากลูกค้าพอสมควร

สำหรับงาน “ผีเสื้อจากใบยางพารา” นั้น มีคนรู้จักมาแนะนำให้ลองทำ รวมทั้งสอนวิธีและเทคนิคในการทำ ซึ่งเห็นว่าเป็นงานที่น่าสนใจ และที่สำคัญต้องการที่จะแตกไลน์ของธุรกิจออกไปให้หลากหลายมากขึ้น จึงทดลองทำดู ก็ได้ลองผิดลองถูกอยู่ประมาณ 2-3 เดือน ก็ประสบความสำเร็จได้รูปแบบที่ลงตัว

คอนเซปต์ของผลิตภัณฑ์ผีเสื้อจากใบยางพาราก็คือ “เป็นการนำธรรมชาติมาทำเป็นของตกแต่งที่เป็นธรรมชาติและไม่ทำลายธรรมชาติ ผีเสื้อที่ทำออกมานั้นจะต้องมีลักษณะเหมือนจริง โดยแบบผีเสื้อนั้นจะหาดูจากในอินเทอร์เน็ต หรือโปสเตอร์ รวม ถึงไปดูจากฟาร์มเลี้ยงผีเสื้อโดยตรง”

วัสดุอุปกรณ์ในการทำนั้นมีดังนี้...ใบยางพารา, ลวด เบอร์ 20-22, แม่เหล็ก, ไม้มะขาม, กาวลาเท็กซ์, กาวร้อน, อะคริลิก, พู่กัน, กรรไกร, เคลียร์เคลือบเงา

ใบยางพารานั้นจะใช้เบอร์ 5-12 ซึ่งสามารถหาซื้อที่ตลาดนัดสวนจตุจักร ส่วนแม่เหล็กนั้นควรใช้แม่เหล็กไฟฟ้า เพราะติดแน่นกว่าแม่เหล็กธรรมดา ซึ่งสามารถหาซื้อได้ย่านคลองถม

ขั้นตอนการทำ...เริ่มจากการทำส่วนปีกผีเสื้อก่อน โดยปีกผีเสื้อหนึ่งตัวจะมี 4 ชิ้นส่วน เริ่มจากเลือกแบบพันธุ์ผีเสื้อที่จะทำ จากนั้นก็วาดแบบตามรูปทรงปีกของผีเสื้อ ตัดออกมาเป็นแพต เทิร์น เมื่อได้แบบที่ต้องการก็นำใบยางพาราไปติดไว้บนแบบทั้งใบ โดยยังไม่ต้องตัดขอบให้เข้ากับแบบ ใช้กาวลาเท็กซ์ทายึดติดให้แน่น

เมื่อกาวแห้งก็ทำการลงสี ซึ่งตรงนี้ต้องใช้ฝีมือเล็กน้อยเพราะจะต้องลงสีให้เหมือนกับแบบที่เลือกเพื่อให้เหมือนจริงมากที่สุด หลังจากที่ลงสีเรียบร้อยแล้วก็ปล่อยทิ้งไว้ให้สีแห้ง แล้วจึงตัดใบยางพาราตามแบบ

เมื่อทำการเตรียมส่วนปีกเรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงขั้นการทำตัวผีเสื้อ โดยการนำไม้มะขามมาเหลาให้ได้ความยาวพอประมาณ เหลาหัวท้ายให้มีลักษณะมน ๆ จากนั้นก็ทำการเจาะรูตรงกึ่งกลางของส่วนตัว แล้วใช้ลวดจำนวน 2 เส้น สอดผ่าน ใช้กาวร้อนหยดที่รูเพื่อยึดลวดให้ติดกับส่วนตัวให้แน่น

ขั้นตอนต่อไป ก็นำส่วนปีกที่เตรียมไว้มาวางติดบนเส้นลวดที่ติดกับส่วนตัวให้ครบทั้งปีกบน-ปีกล่างทั้ง 2 ฝั่ง โดยต้องใช้ใบยางพาราประกบติดทับด้านหลังเพื่อบังเส้นลวดไว้อีกทีด้วย จากนั้นก็ตกแต่งหนวดด้วยเกสรดอกไม้ปลอม และติดตาด้วยลูกปัด นำไปพ่นเคลือบเงาด้วยเคลียร์ สุดท้ายก็นำมาติดแม่เหล็ก เท่านี้ก็เรียบร้อย

วุฒิพรบอกว่า “ผีเสื้อจากใบยางพาราที่ทำนั้นมีหลากหลายสายพันธุ์ ที่สำคัญเป็นสินค้าที่ไม่ใช่แค่นำไปเป็นแม็คเน็ตติดตู้เย็นอย่างเดียว สามารถนำไปดัดแปลงตกแต่งได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการนำไปใส่กรอบรูป ติดผนังบ้าน ตกแต่งตามไอเดียได้ตามต้องการ”

การทำ “ผีเสื้อจากใบยางพารา” งาน “ก๊อบปี้ธรรมชาติ” นี้ ลงทุนไม่สูง โดยวุฒิพรบอกว่า ใช้เงินลงทุนเบื้องต้นประมาณไม่เกิน 5,000 บาท ก็น่าจะได้ ส่วนต้นทุนในการผลิตนั้นก็ตกอยู่ที่ประมาณ 40% ของราคาขาย ซึ่งสินค้าของวุฒิพร มีทั้งหมด 4 ไซซ์ คือ S, M, L, XXL ราคาก็มีตั้งแต่ 79-190 บาท

ใครสนใจ “ผีเสื้อจากใบยางพารา” ของวุฒิพร สามารถแวะไปดูไปชมและเลือกซื้อได้ที่ร้านของเขา ที่ตลาดนัดสวนจตุจักร โครงการ 19 ซอย 7/4 เปิดขายเฉพาะวันเสาร์และวันอาทิตย์ ไปไม่ถูกหรือต้องการสั่งออร์เดอร์ไปขายต่อ ก็โทรศัพท์ไปสอบถามได้ที่ โทร. 08-9116-9231.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์

ที่มา http://www.dailynews.co.th

สินค้าแปรรูป ‘ลองกอง’ สร้างรายได้

วิธีทำ... 1.ชั่งน้ำตาลมา 50 กรัม ผสมกับเพคตินให้เข้ากัน, 2.ใส่เนื้อลองกองในกระทะทองเหลือง ยกขึ้นตั้งไฟพอร้อน ใส่ส่วนผสมตามข้อ 1 คนให้ละลาย, 3.ใส่น้ำตาลทรายที่เหลือทีละน้อยจนหมด เคี่ยวไฟอ่อน ใส่กรดมะนาว เคี่ยวต่อจนให้ความหวาน 68 องศาบริกซ์ (เครื่องวัดนี่ก็มีขาย) ก็จะได้ออกมาเป็น “แยมลองกอง” นำบรรจุลงขวดที่ผ่านการนึ่งฆ่าเชื้อและแห้ง เก็บไว้ทานหรือขาย

แถมด้วยสูตร “น้ำลองกอง” ส่วนผสมก็มี... เนื้อลองกอง 1 ถ้วย ต่อน้ำสะอาด 1 ถ้วยครึ่ง, น้ำเชื่อมครึ่งถ้วย, เกลือป่นครึ่งช้อนชา วิธีทำ... แกะเนื้อลองกองใส่เครื่องปั่น เติมน้ำแล้วปั่นต่อ แล้วเติมน้ำเชื่อม ใส่เกลือป่น ชิมรสตามชอบ จะได้น้ำลองกอง ที่รสหวาน หอม เปรี้ยว เค็ม เล็กน้อย ดื่มแล้วชื่นใจ

ก็ลองไปทำกันดูนะครับ !!

ต่อด้วยข่าวอาชีพ... เดือน ส.ค.นี้ สถาบันเอชานซ์จัดอบรมหลายหลักสูตร อาทิ... การทำเทียน ธูป กำยาน, การทำสเต๊ก และซอสแบบต่าง ๆ, การทำมาม่อนเค้ก, การทำสบู่เหลว แชมพู ครีมนวดและครีมอาบน้ำ, การทำเรซิ่นเลียนแบบวัสดุธรรมชาติ, การทำซาลาเปา, การทำผลิตภัณฑ์ลดเซลลูไลท์, การทำน้ำสลัดยอดนิยม, การทำพิซซ่าหน้าต่าง ๆ อบรมแบบเน้นการปฏิบัติ ใครสนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และสอบถามค่าใช้จ่ายในการอบรมแต่ละอย่าง ได้ที่ โทร. 0-2933-4597-8, 08-6987-0042

ปิดท้าย... ระหว่างวันที่ 26-30 ส.ค.นี้ เวลา 10.00-20.00 น. ที่ห้องเอ็มซีซีฮอลล์ เดอะมอลล์ บางกะปิ มีการจัดงาน “วันเส้นทางเศรษฐี ครั้งที่ 6” ซึ่งจัดร่วมกับงานมหกรรมอาหารปลอดภัยสู้ภัยเศรษฐกิจ โดยในส่วนของงานวันเส้นทางเศรษฐีนั้นก็จะมีกิจกรรมเกี่ยวกับอาชีพที่น่าสนใจหลากหลาย มีการจัด ตลาดนัดอาชีพ และ กิจกรรมส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระ หลากรูปแบบ มีการ ให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับอาชีพต่าง ๆ มีกิจกรรมบนเวทีที่ให้ความรู้ มี ตัวอย่างการประกอบอาชีพต่าง ๆ รวมถึงมีการ อบรมอาชีพอิสระในราคาพิเศษ ด้วย ทั้งนี้ ไม่รวมการอบรมอย่างอื่น ๆ ผู้ที่สนใจไปหาความรู้ทางอาชีพกันได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

วันนี้ว่ากันได้เท่านี้ก่อน...สวัสดีครับ !!.

ที่มา http://www.dailynews.co.th

'กระยาสารท'ขนมโบราณทำเงิน


“กระยาสารท” เป็นขนมไทยพื้นบ้านอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย คนยุคก่อนจะทำกันช่วงเทศกาลทำบุญวันสารทไทย แรม 15 ค่ำ เดือน 10 แต่ปัจจุบันขนมชนิดนี้ถูกปรับปรุงพัฒนาให้เป็นขนมกินเล่นได้ อย่างเช่นยี่ห้อ “อำนวยขนมไทย” ใน จ.ปทุมธานี ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอ...

อำนวย ลางคุณเสน ประธานกลุ่มอาชีพสตรีคลองควาย ต.คลองควาย อ.สามโคก จ.ปทุมธานี เล่าว่า สมัยก่อนพอถึงช่วงเทศกาลสารทไทย ชาวไทยพุทธทุกบ้านจะต้องนำเอาพืชผลทางการเกษตรที่ให้ผลผลิตครั้งแรกในฤดูเก็บเกี่ยว ทั้งข้าวเม่า ข้าวตอก ถั่ว งา น้ำผึ้ง น้ำตาล และน้ำอ้อย มาทำเป็นขนม “กระยาสารท” เพื่อนำไปประกอบพิธีทำบุญในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ตามความเชื่อที่ว่า บุญกุศลจะไปสู่ญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปแล้วและยังส่งผลให้พืชผลทางการเกษตรเจริญงอกงาม และอุดมสมบูรณ์อีกด้วย

แม้วัฒนธรรมการทำขนมชนิดนี้จะเลือนหายไปตามเวลา จนเกือบไม่เหลือให้เห็นแล้ว แต่ผู้คนส่วนใหญ่ยังติดใจในรสชาติความอร่อยของกระยาสารท ตนเองซึมซับและผูกพันกับขนมไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงสนใจอยากจะทดลองทำขายดู ซึ่งการทำกระยาสารทไม่ใช่เรื่องยาก แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าทำอย่างไรให้อร่อยโดนใจ

ด้วยพรสวรรค์ บวกกับพรแสวงที่ได้จากการฝึกฝนวิชาทำขนมกระยาสารทจากรุ่นปู่ย่าตายาย พลิกแพลงพัฒนาหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดอำนวยก็ได้สูตรเฉพาะของตนเอง และในปี 2538 ก็เริ่มผันตัวเองจากอาชีพทำนามาเป็นแม่ค้าขายกระยาสารท แล้วชักชวนเพื่อนบ้านจัดตั้งเป็น “กลุ่มอาชีพสตรีคลองควาย” ขึ้น ใช้ทุนเริ่มต้นสำหรับอุปกรณ์ราว 25,000 บาท จากการสนับสนุนของกรมการพัฒนาชุมชน

อำนวยไปอบรมความรู้ตามหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อพัฒนาสินค้าให้ได้คุณภาพ ทั้งรสชาติ กระบวนการผลิต บรรจุภัณฑ์ จนได้รับการรองทั้งจาก อย., มผช., โอท็อป, รางวัลชนะเลิศกระยาสารทงานของดีเมืองปทุมธานี ฯลฯ ทำให้สินค้าขายดีขึ้นเรื่อย ๆ ล่าสุดยังได้รับเลือกให้วางขายในห้างเทสโก้ โลตัส ด้วย

วัตถุดิบหรือส่วนผสมที่ใช้ในการทำ “กระยาสารท” ก็มี... ข้าวเม่า, ข้าวตอก, ถั่ว, งา, น้ำอ้อย, น้ำกะทิ, มะนาว, นมสด ส่วนอุปกรณ์หลัก ๆ ก็มี... กระทะขนาดใหญ่, เตาแก๊สหรือเตาถ่าน, ไม้พาย, ตะหลิว, ถาดขนาดใหญ่, กะละมัง, ไม้กลิ้ง, พิมพ์ และอุปกรณ์งานครัวเบ็ดเตล็ด

ขั้นตอนการทำ “กระยาสารท” เริ่มจาก... นำข้าวเม่า ข้าวตอก ถั่ว งา ไปคั่วด้วยไฟอ่อนให้หอมและสุกเหลืองพอดี ใส่ภาชนะแยก วางพักไว้ แล้วก็เตรียมน้ำอ้อย น้ำกะทิ นมสด และน้ำมะนาวให้พร้อม นำกระทะตั้งไฟใส่น้ำอ้อยลงไป ตามด้วยน้ำกะทิและนมสดในสัดส่วนที่พอเหมาะ ใช้ไฟร้อนปานกลางเคี่ยวผสมให้เดือดสักครู่ แล้วเติมน้ำมะนาวเล็กน้อย จะช่วยให้กระยาสารทมีสีเหลืองนวลสวย ใส และกรอบ

ทำการเคี่ยวต่อไปเรื่อย ๆ ประมาณ 2 ชั่วโมงจนส่วนผสมเหนียวได้ที่ นำข้าวตอกใส่ลงไป ตะล่อมคนให้ทั่วและให้เข้ากันดี จากนั้นค่อยนำส่วนผสมที่เหลือเทรวมลงไป โดยใช้ไม้พายคนให้เข้ากันอีกประมาณ 40 นาที ระหว่างนี้ใช้ไฟอ่อน ๆ สังเกตดูส่วนผสมทุกอย่างเกาะติดกันจนเหนียวได้ ค่อยยกลงจากเตา

จากนั้นนำไปเทลงในแม่พิมพ์ที่เตรียมไว้ แล้วใช้ลูกกลิ้งไม้ผิวเรียบอัดด้วยแรง เพื่อให้กระยาสารทเกาะแน่นติดกัน จากนั้นนำมาตัดเป็นชิ้น ๆ ก่อนแพ็กบรรจุภัณฑ์เพื่อไปวางจำหน่าย โดยการขายก็มีหลายแบบ ถ้าบรรจุกล่อง 300 กรัม ราคา 49 บาท ถ้าแพ็กเป็นถุง ๆ ละ 20-35 บาท หรือชั่งเป็นกิโลกรัม ๆ ละ 100 บาท

คุณอำนวยนั้น จากชาวนา สามารถพัฒนาอาชีพขายกระยาสารท จนกลายเป็นธุรกิจที่ประสบผลสำเร็จ ยืนหยัดมานานราว 16 ปี และช่วยให้คนในชุมชนมีงาน มีรายได้ด้วย โดยเจ้าตัวบอกว่าแม้กำไรที่ได้ไม่มากมาย แต่ได้ความเป็นอยู่ที่ดีของเพื่อนสมาชิก และความสุขในครอบครัว นี่คือกำไรที่มีค่ายิ่งแล้ว

ใครสนใจ “กระยาสารท” สนใจขนมไทยโบราณ “อำนวยขนมไทย” สนใจเคล็ดลับ เทคนิค วิธีการบริหารจัดการธุรกิจ ของกลุ่มอาชีพสตรีคลองควาย ติดต่อได้ที่ เลขที่ 3 หมู่ 6 ต.คลองควาย อ.สามโคก จ.ปทุมธานี โทร.0-2593-2403, 08-9775-0932 แล้วจะรู้ว่า...ทำ-ขายขนมโบราณ...ไม่บานบุรี !!


เชาวลี ชุมขำ :รายงาน เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th

'รองเท้านินจา' สินค้าสุดฮิต

ตลาดสินค้าสำหรับเกษตรกรเป็นตลาดที่ไม่ควรมองข้าม เพราะความเป็นจริงถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่ โดยเฉพาะอุปกรณ์หรือตัวช่วยในการทำเกษตร ที่ยังมีช่องว่างให้แทรกได้อีกเยอะ อย่างเช่นงานผลิตรองเท้าสำหรับใส่ลงสวน ที่เรียกว่า “รองเท้า นินจา” ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอในวันนี้...

“ประชุม เลียดทอง” เจ้าของสินค้า “รองเท้านินจา” แห่งกลุ่มแม่บ้านหมู่ 3 บ้านบัวงาม ต.บัวงาม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี เล่าว่า รองเท้าทำสวนที่เกษตรกรหรือคนทั่วไปมักเรียกติดปากว่า “รองเท้านินจา” นี้ เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนในพื้นที่ซึ่งมีการทำขึ้นมาใช้ในครัวเรือนนานแล้ว เพียงแต่รูปแบบในยุคก่อนจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับคนที่ทำหรือใช้วัสดุอะไรทำ เป็นไปในลักษณะต่างคนต่างทำต่างคนต่างใช้

ต่อมาตนเห็นว่ามีความต้องการในตลาดสูง คิดว่าน่าจะนำมาต่อยอดและทำเป็นอาชีพได้ ก็เลยลองทำเพื่อลองตลาด ปรากฏว่าได้รับการตอบรับดี จึงยึดอาชีพผลิตรองเท้านี้มาเกือบ 20 ปีแล้ว โดยใช้ชื่อสินค้าว่ารองเท้านินจายี่ห้อ “ช.รุ่งระวี” รองเท้านี้กลายเป็นสินค้าขึ้นชื่อของพื้นที่นี้ มีการส่งไปขายได้ทั่วประเทศ

ลักษณะการใช้งานรองเท้า ประชุมบอกว่า ส่วนใหญ่เกษตรกรจะนิยมใส่ลงในพื้นที่สวนหรือนาข้าว หรือพื้นที่ที่มีลักษณะเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ มีลักษณะเป็นดินโคลน เพื่อป้องกันการเกิดบาดแผลจากหอยเชอรี่ หนามจากวัชพืช เพื่อ “ป้องกันโรคฉี่หนู” ส่วนสาเหตุที่รองเท้านินจาเป็นที่นิยม เหตุผลคือรองเท้านี้ใช้งานสะดวกกว่ารองเท้าบู๊ตยาง เพราะน้ำหนักเบากว่า สวมใส่สบายกว่า ที่สำคัญเมื่อใส่เดินในโคลนหรือน้ำจะไม่หนัก เพราะใช้วัสดุผ้าแทนยาง รองเท้าก็จะไม่เก็บน้ำไว้ ทำให้ขณะเดินรองเท้าจะไม่จมดินเหมือนรองเท้าบู๊ตยาง

“กลุ่มลูกค้าหลักก็คือเกษตรกร รองลงมาก็จะเป็นร้านจำหน่ายอุปกรณ์การเกษตรที่นำไปขายต่อ รวมถึงบริษัทจำหน่ายอุปกรณ์การเกษตรที่จะซื้อเพื่อนำไปแจกให้ลูกค้าอีกต่อหนึ่ง” เจ้าของผลิต ภัณฑ์กล่าว

ราคาจำหน่าย เริ่มตั้งแต่คู่ละ 50 บาท ไปจนถึงคู่ละ 70 บาท ปัจจุบันผลิตอยู่ 3 แบบคือ แบบสั้น หุ้มเหนือข้อเท้า แบบยาว หุ้มถึงใต้หัวเข่า และแบบลายพราง ทหาร สำหรับคนที่ชอบรองเท้าที่มีลูกเล่นเพิ่มขึ้น ซึ่งรองเท้านินจาแบบยาวจะขายดีกว่าแบบสั้น แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสะดวกและการใช้งานของลูกค้าเป็นสำคัญ

ทุนเบื้องต้นอาชีพนี้ ถ้าทำเป็นอุตสาห กรรมเล็ก ๆ ใช้เงินลงทุนครั้งแรกประมาณ 1 แสนบาท ส่วนใหญ่จะเป็นค่าเครื่องจักรและอุปกรณ์ในการตัดเย็บ อาทิ จักรเย็บผ้าอุตสาห กรรม, เครื่องตัดผ้า, เครื่องปั๊มสำหรับขึ้นรูปรองเท้า และจักรโพ้งอุตสาหกรรม ส่วนอุปกรณ์อื่น ๆ ก็เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในงานตัดเย็บทั่วไป

ทุนวัตถุดิบ อยู่ที่ประมาณ 70% จากราคาขาย โดยทางกลุ่มนี้จะเน้นผลิตเป็นจำนวนมากเพื่อขายส่ง

สำหรับวัสดุที่ใช้ในการทำรองเท้านินจา ประกอบด้วย ผ้าลายสองหรือผ้าพีวีซี เน้นเหนียว ไม่อุ้มน้ำ, โฟมยางอัดแข็ง หนา 3 มิลลิเมตร สำหรับใช้ทำพื้นรองเท้า, เชือกสำหรับใช้ผูกรองเท้า, ซิป, ด้ายเย็บผ้า เป็นต้น

ขั้นตอนการทำมีไม่กี่ขั้นตอน คล้ายการเย็บรองเท้าผ้าทั่วไป จะมีขั้นตอนพิเศษเพิ่มขึ้นก็ในส่วนที่ต้องทำพื้นรองเท้าให้หนา เริ่มจากนำผ้าที่เตรียมไว้มาตัดเป็นชิ้นส่วนตามแบบหรือแพทเทิร์นที่ได้วางไว้ จากนั้นนำมาเย็บให้เป็นชิ้นเข้าด้วยกัน แยกออกเป็น 2 ส่วนประกอบคือ ส่วนที่เป็นตัวรองเท้า กับส่วนที่เป็นพื้นรองเท้า

ในส่วนที่เป็นพื้นรองเท้า หลังจากยัดโฟมยางที่เป็นพื้นรองเท้าเข้าไปไว้ด้านในแล้ว ก็จะใช้วิธีเย็บด้ายขึ้นลงย้อนไปมาหลาย ๆ รอบเพื่อให้เกิดลายที่พื้นรองเท้า และมีข้อดีคือช่วยทำให้พื้นรองเท้ายึดติดแน่น ทำให้พื้นรองเท้าหนาขึ้น และทำให้พื้นรองเท้าไม่ลื่นง่าย ขณะเดินบนพื้นเปียกแฉะ เมื่อเย็บเสร็จแล้วก็มาทำในส่วนที่เป็นตัวรองเท้า เมื่อเสร็จก็นำ 2 ส่วนมาประกอบเข้าด้วยกัน บรรจุหีบห่อ เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำรองเท้านินจา

“ตอนนี้ถือว่ากำลังการผลิตแทบจะไม่ทันกับความต้องการ เพราะตลาดมีความต้องการสูง ส่วนตัวเชื่อว่าตลาดยังโตได้อีกมาก” เจ้าของผลิตภัณฑ์กล่าวทิ้งท้าย

สนใจผลิตภัณฑ์ของกลุ่มแม่บ้านหมู่ 3 บ้านบัวงาม ติดต่อได้ที่เลขที่ 16 ต.บัวงาม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี โทร.0-3227-9122, 08-1858-5004, 08-9690-3813 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกงานฝีมือที่ต่อยอดจากภูมิปัญญาได้อย่างน่าสนใจ และเป็นอีกบทพิสูจน์ว่าทำสินค้าขายเกษตรกรก็น่าสนใจ อย่ามองข้าม !!.

ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : รายงาน เดลินิวส์

มาแปรรูป 'ผลไม้ถูก' ขาย รวย


หน้า “ช่องทางทำกิน” เสาร์นี้มีพื้นที่มากพอสมควร ผมก็เลยจะนำข้อมูลการ “แปรรูปผลไม้” สัก 2-3 อย่างมาบอกกล่าวกันใน “ถอดรหัสอาชีพ” เผื่อใครมีแหล่งผลไม้ที่ราคาถูก อาจจะซื้อหามาแปรรูปขายเพิ่มมูลค่า-สร้างรายได้กัน ก็จะเป็นในส่วนของผลไม้ที่ตอนนี้หาได้ไม่ยาก และราคาก็ถูก หรือไม่สูงมาก

เริ่มจาก “ลำไย” เอาเป็น “วุ้นลำไย” ก็แล้วกัน...โดยส่วนผสมตามสูตรก็คือ...ลำไยสด 3 กิโลกรัม ต่อน้ำตาลทราย 3 กิโลกรัม และผงวุ้น 1 ถุง (ขนาด 25 กรัม) วิธีทำเริ่มจาก...นำน้ำเปล่าประมาณ 3 กิโลกรัมใส่หม้อตั้งไฟ ต้มให้เดือด แล้วใส่น้ำตาลทรายลงไปคนให้ละลาย จากนั้นนำผงวุ้นไปละลายกับน้ำเย็นเพื่อให้แตกตัว ก่อนที่ จะนำมาเทใส่ใน หม้อน้ำที่ตั้งไฟไว้ “เคล็ดลับก็คือ อย่าเทผงวุ้นลงไปในน้ำร้อน ๆ เพราะจะทำให้ผงวุ้นแข็งตัวเกินไป” เมื่อเทผงวุ้นที่ละลายในน้ำเย็นลงไปในหม้อน้ำที่ตั้งไฟแล้ว ก็คนให้เข้ากัน

ตั้งไฟต่ออีกสักพักจนกระทั่งเดือด ระหว่างนี้เตรียมถ้วยพลาสติกขนาด 6 ออนซ์ ใส่ลำไยสดที่ปอกเปลือกแกะเมล็ดแล้ว 4-5 ลูก แล้วตักน้ำวุ้นที่เดือดใส่ตามลงไป พักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที น้ำวุ้นจะแข็งตัวกลายเป็นเนื้อวุ้น ซึ่งสามารถทานได้ทันที แต่ควรแช่เย็นก่อนทาน-ก่อนขาย จะได้รสชาติหวานเย็นชื่นใจ

“วุ้นลำไย” นี้หากแช่เย็นจะเก็บไว้ได้ 2-3 วัน จากสูตรนี้จะทำได้ประมาณ 30-35 ถ้วย ขายราคาถ้วยละ 10 บาทขึ้นไปได้สบาย ๆ ส่วนกำไรก็แล้วแต่ราคาลำไยสด ราคายิ่งต่ำกำไรก็ยิ่งสูง

อีกชนิด เอาเป็น “มังคุด” และแปรรูปทำเป็น “น้ำมังคุด” ซึ่งมังคุดนั้นเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซี ช่วยแก้อาการคลื่นไส้ได้ ในช่วงที่มีผลผลิตมังคุดมาก และราคาถูก การแปรรูปโดยการทำเป็นน้ำมังคุดขายก็เป็นอีกวิธีเพิ่มมูลค่า และสำหรับส่วนผสมในการทำน้ำมังคุดตามสูตรที่ผมมีอยู่ ก็คือ...เนื้อมังคุดแกะเมล็ดในออก 1 กิโลกรัม ต่อน้ำต้มสุกประมาณ 8 ถ้วยตวง น้ำตาลทราย 5 ถ้วยตวง และเกลือป่น 2 ช้อนชา

วิธีทำเริ่มจาก...นำเนื้อมังคุดที่เอาเมล็ดออกแล้ว 1 กิโลกรัมใส่หม้อ ใส่น้ำลงไปตามส่วนคือ 8 ถ้วยตวง จากนั้นก็ติดไฟต้มและเคี่ยวด้วยไฟอ่อน ๆ จนเนื้อมังคุดเปื่อยยุ่ย จึงนำลงจากเตาไฟ จากนั้นกรองเอากากที่ไม่ต้องการทิ้ง บีบเอาน้ำออกจากกากให้หมด ยกน้ำมังคุดที่กรองได้ขึ้นตั้งไฟอีกครั้ง โดยเติมน้ำสะอาดเพิ่มลงไปให้ได้ปริมาณเท่าที่ต้มตอนแรก ต้มจนเดือดอีกครั้ง พอเดือดก็ใส่น้ำตาลทรายลงไป 5 ถ้วยตวง
ลำดับสุดท้ายเติมเกลือป่นลงไป เมื่อเดือดดีก็นำขึ้นจากเตามากรองอีกรอบ จากนั้นปล่อยให้เย็น แล้วรินใส่ภาชนะ ก็จะได้ “น้ำมังคุด” พร้อมขาย ราคาขายก็ตั้งตามความเหมาะสมกับต้นทุน

พื้นที่มีอีกเล็กน้อย หา “เงาะ” มาทำ “เงาะลอยแก้ว” ด้วยแล้วกัน ขั้นตอนการทำเงาะลอยแก้วนั้นไม่ยุ่งยาก จะคล้ายวิธีทำสละลอยแก้ว เพียงแต่เปลี่ยนวัตถุดิบเป็นเงาะเท่านั้น และไม่ต้องต้มให้สุกเหมือนสละ

วิธีทำเริ่มจาก...นำเงาะมาปอกเปลือก แกะเมล็ดออกแล้วหั่นเป็นชิ้นพอคำ นำไปล้างให้สะอาด แต่ไม่ควรแช่น้ำทิ้งไว้นานเพราะจะทำให้เนื้อเงาะเละเกินไป จากนั้นเตรียมทำน้ำเชื่อม โดยสัดส่วนก็ใช้น้ำตาลทรายประมาณ 1 กิโลกรัม ผสมกับน้ำเปล่าประมาณ 300 กรัม นำขึ้นตั้งไฟเคี่ยวให้เข้ากัน ให้น้ำตาลทรายละลายเป็นน้ำเชื่อม ทิ้งไว้ให้เย็นและนำเข้าเก็บในตู้เย็น เมื่อจะขายก็ตักน้ำเชื่อมใส่ถ้วย ใส่ชิ้นเงาะลงไป แล้วเติมน้ำแข็ง

ราคาขาย “เงาะลอยแก้ว” ก็ตั้งได้ตั้งแต่ 15-20 บาท ขึ้นอยู่กับปริมาณ-แหล่งที่ขาย โดยใส่เนื้อเงาะ 4-5 ชิ้น หรือตามขนาดภาชนะ ซึ่งเงาะ 1 กิโลกรัมจะทำขายได้ประมาณ 4-5 ถ้วยขึ้นไป

ก็เป็นข้อมูล “แปรรูปผลไม้” ที่นำมาฝากให้ลองพิจารณากันอีกครั้งครับ


‘เพาะเห็ดฟางทำเงิน’

ถึงไม่ใหม่แต่ก็ยังขายดี
อาชีพ “เพาะเห็ดฟางขาย” แม้จะมีมานาน แต่จนวันนี้ก็ยังน่าสนใจอยู่ ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลจาก ศูนย์การเรียนรู้การเพาะเห็ดฟาง ต.บ้านซ่อง อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา มาให้ลองพิจารณา หลังจากทีมงานได้เดินทางไปดูงานกิจกรรมฟาร์มสเตย์ โครงการหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งทาง เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ให้การสนับสนุนอยู่ เมื่อปลายเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา...

โครงการหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้านั้นมีพื้นที่กว่า 1,200 ไร่ โดยกิจกรรมส่วนหนึ่งของโครง การคือกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่หลากหลาย ซึ่งก็เป็น “ช่องทางทำกิน” ของชาวบ้าน และสำหรับการ “เพาะเห็ดฟาง” ก็มีศูนย์การเรียนรู้การเพาะเห็ดฟางเป็นทั้งแหล่งให้ความรู้ และเป็นแหล่งรวบรวมเห็ดจากสมาชิกของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเห็ด และผักปลอดสารพิษ ซึ่งแต่ละวันก็จะมีเห็ดฟาง 200-300 กก. เป็นอย่างต่ำ

บัญชา มัจฉานุ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเห็ด และผักปลอดสารพิษ ต.บ้านซ่อง เล่าว่า รวมกลุ่มผักปลอดสารพิษบ้านหนองหว้ามาตั้งแต่ปี 2548 แรกเริ่มเดิมทีมีสมาชิก 12 คน โดยได้รับงบประมาณจากสำนักงานเกษตร อ.พนมสารคาม, เทศบาลนคร ต.บ้านซ่อง และ มีเจ้าหน้าที่เกษตรอำเภอมาถ่ายทอดความรู้ให้

สำหรับการรวมตัวเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเห็ดและผักปลอดสารพิษ เริ่มกันในปีนี้ โดยมีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 30 ครัวเรือน ในส่วนของเห็ดจะผลิตได้วันละกว่า 200-300 กก.ขึ้นไป ซึ่งหลังรวมตัวกันในเรื่องการเพาะเห็ดฟาง ฟาร์มเห็ดก็ได้สร้างรายได้ให้ชาวบ้านและสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับชุมชนได้มากขึ้น

ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเห็ด บอกว่า ปัจจุบันมีโรงเรือนเพาะเห็ดของกลุ่มฯ กว่า 100 โรง ซึ่งหากไม่มีปัญหาอะไรโรงเรือนแต่ละโรงจะให้ผลผลิตเห็ดเฉลี่ยเดือนละ 250-300 กก. โดยสร้างรายได้ กก.ละ 55 บาทขณะที่ต้นทุนของการผลิตเห็ดฟางนั้นตก กก.ละ 25-30 บาท ซึ่งจะมีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อถึงศูนย์

โรงเรือนแต่ละแห่งจะสร้างด้วยไม้ หลังคามุงด้วยใบจาก และต้องมีผ้าใบคลุมด้วย ในกรณีที่จะต้องรักษาอุณหภูมิ โรงเรือนนั้นจะมีขนาด 5 x 8 เมตร ขนาด 4 ชั้น 2 แถว โดยมีต้นทุนโรงละ 15,000-20,000 บาท

ส่วนกรรมวิธีเพาะเห็ด จะเริ่มตามลำดับของวัน คือ วันที่ 1-3 แช่ปาล์ม จำนวน 2.5-3 ตัน ในน้ำ (ปริมาณท่วมปาล์มพอดี) ใช้ทะลายปาล์มที่หีบน้ำมันออกหมดแล้ว หรืออาจจะใช้กากมันสำปะหลัง หรือใช้เปลือกถั่วก็ได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับปาล์มน้ำมันในปริมาณดังกล่าวจะใช้กับโรงเรือนได้ 4 โรงเรือน ซึ่งต้องผสมอีเอ็มหรือน้ำจุลินทรีย์ชีวภาพจำนวน 3 ลิตร, กากน้ำตาล 3 ลิตร และปุ๋ยยูเรีย 3 กก. ละลายให้เข้ากัน แช่ทิ้งไว้ 3-4 คืน แล้วนำขึ้นมา เพื่อเตรียมขึ้นปาล์มบนโรงเรือน

วันที่ 4 ขึ้นปาล์ม โดยมีอาหารเสริมด้วย (เป็นส่วนผสมที่คลุกระหว่าง ขี้วัว 45 กก., รำข้าว 25 กก., อีเอ็มหรือน้ำจุลินทรีย์ชีวภาพ 100 ซีซี, กากน้ำตาล 100 ซีซี และน้ำเปล่า 100 ลิตร)

วันที่ 5-7 เลี้ยงเชื้อรา คือจะมีราขาวขึ้นบาง ๆ บนปาล์มน้ำมัน

วันที่ 8 อบไอน้ำ (จะมีหม้อต้มน้ำด้านหลังโรงเรือน และปล่อยไอน้ำตามท่อเข้าไปในโรงเรือน และขณะอบไอน้ำต้องคลุมผ้าใบโรงเรือนให้มิดชิดด้วย) รักษาอุณหภูมิ 70-75 องศาฯ นาน 3 ชั่วโมง

วันที่ 9 โรยเชื้อ (ชั้นละ 7 ก้อน อัตราส่วน 1.5 ตร.ม. / เชื้อเห็ด 1 ก้อน) ซื้อจาก จ.นครนายก ราคาก้อนละ 10 บาท แต่ถ้าเขี่ยเชื้อเห็ดเองได้จะเหลือต้นทุนก้อนละ 5 บาท)

วันที่ 10-13 เลี้ยงใย (รักษาอุณหภูมิ 30-34 องศาฯ)

วันที่ 14 ตัดใย (วิธีการคือ ใช้น้ำเปล่ารดให้ยุบลง และเปิดช่องระบายอากาศ)

ทิ้งไว้ถึงวันที่ 17-30 เก็บผลผลิต (รักษาอุณหภูมิ 28-32 องศาฯ) ซึ่งในระยะ 2 สัปดาห์ จะเก็บผลผลิตได้ 3- 4 ครั้ง โดยเก็บเสร็จแล้ว รดน้ำ และปล่อยไว้อีก 3-4 วัน จะได้ปริมาณเห็ดในจำนวนที่กล่าวไว้ข้างต้น

เทคนิคในการเก็บเห็ดนั้น บัญชาแนะนำว่า ควรจะ เก็บเห็ดฟางเมื่อเห็ดออกเป็นดอกตูม ๆ ซึ่งเห็ดลักษณะนี้ จะได้ราคาดี ส่วนถ้าเป็นเห็ดบาน ๆ ราคาจะไม่ดี ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ดอกเห็ดบานจนเกินไป

“เพาะเห็ดฟางขาย” ยังเป็นอาชีพด้านเกษตรที่น่าสนใจ แต่ด้วยเนื้อที่จำกัดจึงแจกแจงได้ไม่ละเอียด อย่างไรก็ตาม หากสนใจเรื่องราวการเพาะเห็ดฟาง ติดต่อ บัญชา มัจฉานุ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเห็ดฯ หมู่ 3 ต.บ้านซ่อง อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อขอไปเรียนรู้ได้ ที่โทร. 08-0622-8681.

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล เดลินิวส์


http://เตรียมทหาร.blogspot.com

‘ทำนาฬิกาภาพล้อเลียน’


ผสมฝีมือ-ทำเงินด้วยไอเดีย

การนำงานศิลปะเพนท์รูปมาผสมผสานทำเป็นนาฬิกา เป็นผลิตภัณฑ์ไอเดียที่ฉีกแนว สร้างความแตกต่างให้กับสินค้า เป็นอีกผลงานที่สร้างรายได้ให้กับเจ้าของผลงานได้เป็นอย่างดี ซึ่งวันนี้ทีมงาน “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลอาชีพการทำ “นาฬิกาภาพล้อลียนกระดุกกระดิก” มานำเสนอให้ลองพิจารณา...

มนูสุข พรรวีชัยมงคล เจ้าของร้านสารพัดเพนท์ ย่านตลาดนัดตะวันนา เจ้าของไอเดีย “นาฬิกาภาพล้อเลียนกระดุกกระดิก” เล่าว่า หลังเรียนจบด้านออกแบบผลิตภัณฑ์ก็ทำงานด้านการเพนท์ซึ่งเป็นงานที่ชอบ โดยตอนนั้นได้นำเทคนิคการเพนท์มาสรรค์สร้างผลงานลงบนผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ออกจำหน่าย ไม่ว่าจะเป็น การเพนท์ภาพบนรองเท้า กระเป๋า เสื้อ เป็นต้น นอกจากนั้นยังวาดภาพล้อเลียนลงแผ่นไม้ขายอีกด้วย

ต่อมางานเพนท์ลงผลิตภัณฑ์ รวมทั้งภาพล้อเลียนที่วาดลงบนแผ่นไม้ เริ่มมีคู่แข่งในตลาดมากขึ้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีไอเดียใหม่ ๆ สร้างสรรค์ผลงานที่แตกต่างออกจำหน่าย ที่สุดก็ได้ไอเดียการทำนาฬิกาภาพล้อเลียนที่สามารถเคลื่อนไหวได้ออกมา และผลิตภัณฑ์ก็สามารถครองใจลูกค้า ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

“ภาพล้อเลียนของผมจะเน้นวาดออกมาในลักษณะคล้ายจริง ความเหมือนก็อยู่ที่ประมาณ 85-90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญ ที่จำเป็นจะต้องมีการฝึกฝนพัฒนาฝีมือ และความยากอีกจุดหนึ่งของการทำนาฬิกาภาพล้อเลียนเคลื่อนไหวได้นั้นก็อยู่ตรงที่การตั้งศูนย์ถ่วงแกว่งให้ตรง เพราะถ้าตั้งไม่ดี ถ่วงน้ำหนักไม่ดี ภาพก็จะเอียง หรืออาจจะขยับไม่ได้” เจ้าของผลงานกล่าว

สำหรับวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นในการทำหลัก ๆ ก็มี แผ่นไม้อัดหนาประมาณ 2 มม. หรือแผ่นฟองน้ำอัด, สีอะคริลิก, พู่กัน, ดินสอ, คัตเตอร์, เลื่อยฉลุ, กระดาษทราย, เครื่องนาฬิกาแบบแกว่ง, ซิลิโคน เป็นต้น

ภาพล้อเลียนที่นำมาทำเป็นนาฬิกานั้น สามารถใช้ไม้อัด หรือใช้แผ่นฟองน้ำอัดทำก็ได้ ถ้าเป็นแผ่นฟองน้ำอัดก็จะทำให้ชิ้นงานนั้นมีน้ำหนักเบากว่าใช้ไม้อัดทำ

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากนำแผ่นไม้อัดมาทาสีขาวเป็นพื้น รอจนสีแห้งก็ใช้ดินสอวาดรูปหน้าคนตามแบบ โดยการวาดนั้นจะต้องวาดแยกส่วนหัวกับส่วนตัว และเน้นให้มีลักษณะหัวโตกว่าตัว ส่วนหัวที่เป็นรูปหน้าต้องวาดให้คล้ายภาพจริง ส่วนตัวก็วาดตามจินตนาการหรือวาดตามแบบที่ลูกค้าต้องการ

เมื่อวาดด้วยดินสอเรียบร้อยแล้ว ก็ลงสีด้วยสีอะคริลิก โดยจะต้องเน้นในเรื่องของแสงเงาเพื่อให้ภาพออกมาดูมีมิติสวยงาม หลังจากลงสี พอสีแห้งสนิทก็ใช้สเปรย์เคลือบเงาพ่นเคลือบบนภาพที่ลงสีแล้วให้เรียบ

หลังจากได้ภาพวาดเคลือบเงาเรียบร้อย ก็นำภาพนั้นไปตัดตามชิ้นส่วนที่วาดไว้ โดยใช้เลื่อยฉลุตัดตามภาพออกมา ก็จะได้เป็นชิ้นงานแยกเป็นชิ้น ๆ ใช้กระดาษทรายขัดแต่งขอบให้เรียบ นำชิ้นส่วนที่เป็นส่วนตัวไปเจาะรูสำหรับใส่เครื่องนาฬิกา ตรงส่วนหัวนั้นก็ใช้เส้นลวดชนิดแข็งดัดเป็นรูปตัวแซด ปลายลวดด้านหนึ่งติดตรงกึ่งกลางของส่วนหัว อีกด้านติดกับแกนแกว่งของเครื่องนาฬิกา ใช้ซิลิโคนติดให้แน่นหนา

ลำดับถัดมาก็นำไม้อัดมาทำเป็นฐาน นำชิ้นส่วนงานที่เป็นส่วนตัวมาติดลงบนฐานไม้ ใช้ปืนยิงซิลิโคนยึดติดให้แน่นหนา นำตัวเครื่องนาฬิกาที่มีส่วนหัวติดอยู่มาประกอบเข้ากับส่วนตัว ติดเข็มนาฬิกาให้เรียบร้อย

และเพื่อทำให้ส่วนหัวขยับได้ ก็จะต้องมีการถ่วงน้ำหนักตรงแกนแกว่งของนาฬิกาด้วยนอต ซึ่งขั้นตอนนี้ถือว่าสำคัญ เพราะจะต้องถ่วงน้ำหนักให้พอดี ศูนย์ถ่วงต้องตรง เพราะถ้าถ่วงน้ำหนักไม่ดี ศูนย์ไม่ตรง ส่วนหัวก็จะไม่ขยับ
เมื่อตั้งศูนย์ถ่วงเรียบร้อย ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ

ผลงานนาฬิกาภาพล้อเลียนเคลื่อนไหวได้ของมนูสุขนี้ มีหลากหลายรูปแบบให้ลูกค้าได้เลือก มีทั้งแบบเป็นรูปเดี่ยว ๆ และแบบที่มีฉากหลัง ซึ่งราคาจำหน่ายก็อยู่ที่ 350-500 บาท โดยราคานั้นก็จะขึ้นอยู่กับรูปแบบและความยากง่ายของชิ้นงาน ส่วนทุนวัสดุก็จะตกประมาณไม่เกิน 70% ของราคา

สำหรับผู้ที่สนใจ “นาฬิกาภาพล้อเลียนกระดุกกระดิก” ร้านนี้ตั้งอยู่ที่ตลาดนัดตะวันนา โซนเอฟ ล็อกที่ 135 ซอย 1 ข้างเดอะมอลล์ บางกะปิ หรือโทรฯสอบถามได้ที่ 08-1248-1022, 08-3541-6183 ส่วนผู้ที่พอมีฝีมือทางด้านนี้ และยังไม่มีอาชีพ จะลองนำข้อมูลไปดัดแปลงสร้างชิ้นงานรูปแบบใหม่ ๆ ขึ้นมาบ้าง ก็อย่าช้า !!.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ เดลินิวส์

"ธุรกิจสู่ความร่ำรวย"

ทำธุรกิจอะไรดีจึงจะรวย? เป็นคำถามยอดฮิตสำหรับคนที่คิดอยากจะผันตัวเองมาเป็นผู้ประกอบการ แต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี สิ่งที่ผมจะแนะนำต่อไปนี้คือแนวทางที่จะช่วยชี้ช่องทางให้ท่านได้ลองคิดว่าท่านสนใจธุรกิจประเภทใด

ก่อนอื่น ท่านควรถามตนเองก่อนว่า ท่านมีความรู้เกี่ยวกับความเป็นผู้ประกอบการมากน้อยแค่ไหน หากท่านไม่เคยรู้อะไรมาเลยก็ควรศึกษาแสวงหาความรู้และข้อมูลต่างๆจากหน่วยงานภาครัฐอาทิเช่น กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น สำหรับเป็นความรู้เบื้องต้นที่ท่านจะเริ่มต้นคิดหรือสานต่อความฝันที่จะทำธุรกิจของตนเองในขั้นตอนต่อไป

องค์ประกอบพื้นฐานที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องรู้ ต้องมี

หลายท่านอาจกระโดดเข้ามาเป็นผู้ประกอบการ โดยทำธุรกิจตามอย่างผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่ประสบความสำเร็จ ธุรกิจอะไรบูมก็แห่ทำกันเป็นแฟชั่น เช่น เปิดร้านกาแฟสด เปิดร้านบริการอินเทอร์เน็ต เป็นต้น หรือบางครั้งอาจลงทุนทำธุรกิจเพราะมีพรรคพวกชวน โดยที่ตนเองมิได้มีความรู้ หรือเตรียมการ เตรียมความพร้อมสำหรับธุรกิจที่ทำมาก่อนแต่อย่างใด เรียกว่าขาดทั้งความรู้และประสบการณ์ ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการมือใหม่หัดขับทั้งหลายมีโอกาสที่จะประสบปัญหา และล้มเหลวได้สูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ขาดการวางแผนธุรกิจที่ดี

ผู้ประกอบการหลายท่านรับช่วงต่อกิจการมาจากบรรพบุรุษ ในยุคก่อนศตวรรษที่ 20 บรรพบุรุษของท่านเป็นเถ้าแก่ ธุรกิจที่ทำมักมีคู่แข่งน้อย ธุรกิจก็ยังพอไปได้ พอมาในยุคนี้ธุรกิจหลายประเภทที่มีมานาน อาทิ กิจการธนาคาร หรือแม้แต่ร้านของขายของชำ ก็มีการแข่งขันกันมากขึ้นกลายเป็นร้านค้าสะดวกซื้อและซูเปอร์มาร์เก็ตมากมาย

ท่านจะเห็นว่าสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมในทางธุรกิจได้เปลี่ยนไปตามกระแสความเจริญทางเศรษฐกิจของโลก หากคู่แข่งทางการค้ามีมากขึ้น ในขณะที่ท่านยังมิได้ปรับเปลี่ยนวิธีคิดในการประกอบธุรกิจแต่อย่างใด ท่านอาจประสบปัญหาได้เช่นกัน

ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้ประกอบการใหม่ เป็นทายาทธุรกิจที่รับช่วงกิจการ หรือเป็นผู้ประกอบการชั้นเซียน ท่านจะต้องมี วิธีคิด ในการประกอบธุรกิจ อะไร อย่างไร จึงจะอยู่รอด เจริญ อย่างยั่งยืน


ผมขอเสนอวิธีคิดธุรกิจที่มีอนาคตพารวย เพื่อเป็นแนวทางให้ท่านได้พิจารณาเป็นตัวอย่างการทำธุรกิจดังนี้.-

1. ธุรกิจที่ต้นทุนวัตถุดิบราคาถูก สินค้าสำเร็จรูปมีราคาสูง เช่น
* ผู้ประกอบการที่ทราบคุณสมบัติของสมุนไพรไทยแต่ละชนิด เมื่อผลิตโดยใช้อัตราส่วนสมุนไพรแต่ละชนิดอย่างเหมาะสมเป็นยารักษาโรคที่ผลิตขึ้นด้วยวิธีการและเทคโนโลยีสมัยใหม่ซึ่งสามารถนำมาบริโภคได้อย่างสะดวก เช่น ยารักษาโรคหัวใจ ตับ ไต กระเพาะ ลำไส้ เป็นต้น
* ผู้ประกอบการที่มีความรู้ ความสามารถ ประดิษฐ์คิดค้นเครื่องออกกำลังกายชิ้นเดียว ที่ช่วยความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกายหลายส่วน จะได้เปรียบคู่แข่งรายอื่นๆ เพราะจะสามารถขายได้ในราคาสูงเพราะผู้ซื้อจะได้ประโยชน์ที่คุ้มค่ากว่า
* ธุรกิจสื่อสาร โทรคมนาคม ที่ต้องลงทุนสูงเพราะต้องใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ที่ทันสมัย เมื่อเครื่องมือสื่อสารกลายเป็นปัจจัยสำคัญในชีวิตผู้คน ผู้อุปโภคยิ่งใช้ยิ่งต้องจ่ายเพิ่มขึ้น

2. ธุรกิจกินแล้วใช้หมดไปต่อเนื่อง เช่น
* ผู้ผลิตนมและจำหน่ายนมเปรี้ยวที่มีคุณสมบัติพิเศษเป็นภูมิคุ้มกัน ทำให้กระเพาะลำไส้แข็งแรง เข้าหลัก "กินง่าย ถ่ายคล่อง ป้องกันเชื้อ"
* ท่านไม่ควรประกอบธุรกิจสินค้าคงทนถาวร ที่กินไม่ได้แต่ใช้งานได้นานปี เช่น ขายกรรไกรตัดเล็บ เป็นต้น

3. ธุรกิจที่ช่วยแก้ปัญหาความวิตก กังวล ความหวาดกลัว เช่น
* ธุรกิจขายยาอายุวัฒนะ ที่ทำให้สุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยไข้โดยง่าย และยังคงชะลอความหนุ่มสาวไม่แก่ไปตามวัย ซึ่งเป็นความวิตกกังวล และความหวาดกลัวของคนส่วนใหญ่

4. ธุรกิจเสริมความสวย ความงาม เช่น
* ธุรกิจเสริมสวยความงามครบวงจรตั้งแต่ศีรษะ จรด ปลายเท้า

5. ธุรกิจที่ตอบสนองความสุข ความพอใจ เช่น
* ธุรกิจสปา ที่ตอบสนองความต้องการของคนชนชั้นระดับกลางถึงสูง ที่มีรายได้พร้อมยอมจ่ายมากเพื่อแลกกับความพอใจ ความสุข

6. ธุรกิจเพื่อครอบครัว อนาคต เช่น
* ปัจจุบันค่านิยมตั้งครอบครัวใหม่ สร้างบ้านใหม่ ซื้อบ้านใหม่มีมากกว่าแต่ก่อนทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีอนาคต ภายใต้แหล่งทำเลที่อยู่ในความต้องการของผู้บริโภค ความน่าเชื่อถือของเจ้าของโครงการและราคาที่คุ้มค่า คุณภาพ รูปทรง ประโยชน์ใช้สอย ความสวยงาม

7. ธุรกิจที่ขายและให้ความรู้ เช่น
* สังคมยุคใหม่ เป็นสังคมแห่งความรู้ และการเรียนรู้ ดังจะเห็นได้จากผู้ปกครองต่างแย่งกันจ่ายค่าเรียนล่วงหน้าเพื่อจองที่นั่งเรียนให้แก่บุตรหลาน


*** บทความโดย พันธ์ศักดิ์ ลีลาวรรณกุลศิริ ****
จาก ผู้จัดการออนไลน์ www.manager.co.th

การทำ โดนัทเค้ก

อาชีพอิสระวันนี้ workdeena ขอเสนอการทำขนมมีรู นั้นก็คือ "โดนัท" ซึ่งเป็นขนมที่ทั่วโลกรู้จัก และนิยมทานกัน ในบ้านเราก็มีรายใหญ่ ร้านดังมีชื่อเสียงมาจากต่างประเทศ เปิดให้บริการกันหลายร้าน จนบางคนลืม โดนัทแบบบ้านๆ ไปเลย นั้นคือ โดนัสโรยน้ำตาล แบบธรรมดา แต่เพื่อนๆ รู้ไหมว่า กำไรไม่ธรรมดาเลย เพื่อนๆ สามารถทำส่งร้านขายขนมส่งได้ หรือจะตั้งร้านขายเองที่ตลาดก็สามารถทำได้


workdeena อยากให้เพื่อนได้ทราบก็ว่า โดนัทมีอยู่ 2 ประเภท คือ โดนัทยีสต์ และโดนัทเค้ก

- โดนัทยีสต์นั้น จะใช้ยีสต์เป็นส่วนประกอบในการหมักแป้งให้ขึ้นฟู

- โดนัทเค้ก จะใช้ผงฟูในการหมักแป้งให้ขึ้นฟู

ดังนั้นรสชาติจะต่างกัน และเนื้อของโดนัท ก็ต่างกันด้วย แต่วันนี้ workdeena จะบอกวิธีการทำ โดนัสเค้ก แบบที่ร้านใหญ่ๆ เข้าทำขายกัน

โดนัทเค้ก :
ส่วนผสม

แป้งสาลี 1 กิโล
เนยละลาย 1/2 ถ้วยตวง
ไข่ไก่ 2 ฟอง
ผงฟู 3 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง

วิธีทำ
ให้นำแป้งสาลีผสมกับผงฟู ร่อนรวมกันแล้วพักไว้
แล้วให้ตีน้ำตาลทรายกับไข่ขาว(เอาเฉพาะไข่ขาวนะ) ให้ขึ้นฟู
เมื่อน้ำตาลกับไข่ขาว ขึ้นฟูดีแล้วให้นำแป้งและเนยละลาย เทสลับกัน แล้วตีให้เข้ากัน
เสร็จแล้ว ให้นำแป้งมาวางบนโต๊ะ แล้วคลึงและรีดให้เป็นแผ่น ให้หนาพอสมควร
หลังจากนั้น ก็ใช้พิมพ์กดให้เป็นวง แล้วลงทอดในน้ำมัน ใช้ไฟปานกลาง ให้เหลือง

ส่วนหน้าตา หรือน้ำตาลสีต่างๆ ที่ใช้ราดบน โดนัท ก็แล้วแต่เพื่อนๆ ชอบ แต่ workdeena ขอแค่คลุก น้ำตาลทรายเพียงอย่างเดียว ก็อร่อยแล้ว


ขอบคุณภาพสวยๆ จาก Wikipedia

การผลิตน้ำดื่มบรรจุขวด

วันนี้ workdeena จะแนะนำอาชีพอิสระตัวหนึ่ง คือ "การผลิตน้ำดื่มบรรจุขวด" ผู้ผลิตในตลาดตอนนี้มีหลายเจ้า และหลายยี่ห้อ แต่ก็ยังไม่พอเพียงต่อความต้องการของตลาด ปัจจุบันความต้องการน้ำดื่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะจำนวนประชากรที่เพิ่มสูงขึ้น และคนไทยเลิกดื่มน้ำฝนกันแล้ว ดังนั้นตลาดน้ำดื่มจึงเป็นตลาดใหญ่ และยังมีส่วนแบ่งการตลาดค่อนข้างมาก แต่ขอให้ผลิตน้ำให้ใด้มาตรฐาน แล้วตลาดของคุณจะโตขึ้น


เรามาดู วัสดุ - อุปกรณ์ กันก่อนว่าต้องใช้อะไรบ้าง

เครื่องกรองน้ำ ครบชุด
ชุดทำความสะอาดถังน้ำ(ถ้าคุณขายน้ำถัง 20 ลิตรด้วย)
ขวดน้ำใส 1/2 ลิตร
รถส่งน้ำ

หลังจากเราเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงขั้นตอนการเริ่มธุรกิจ

ขั้นแรกคุณต้องทำพื้นที่เพื่อการผลิตน้ำ และเก็บอุปกรณ์ เช่น ขวด และถัง การทำโรงผลิดน้ำต้องทำให้ได้ตามมาตรฐาน ของกรมการอาหารและยา(คุณสามารถหารายละเอียดได้ที่ อนามัย) เพราะน้ำดื่มบรรจุขวด เป็นอาหารกลุ่มควบคุม เฉพาะ ดังนั้นจึงต้องขออนุญาตทำกิจการ

เมื่อคุณทำโรงผลิตน้ำเรียบร้อยแล้ว คุณก็ต้องนำน้ำที่ได้จากเครื่องกรองของคุณ บรรจุขวด 3 ขวด เพื่อส่งตรวจภายใน 24 ชั่วโมง เริ่มจากน้ำถูกบรรจุขวดแล้ว ถ้าส่งตรวจช้ากว่านั้น ค่าของน้ำจะเปลี่ยนไป แล้วอาจจะทำให้ตรวจไม่ผ่านได้ ค่าธรรมเนียมในการตรวจน้ำอยู่ที่ 3,100 บาท เมื่อตรวจผ่านแล้วก็ต้องส่งเรื่องไปให้สำนักงานอาหารและยา เพื่อที่จะส่งคนมาตรวจสถานที่ผลิต และขั้นตอนการผลิต ว่าถูกต้องหรือเปล่า ถ้าทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็จะออกใบอนุญาตผลิตน้ำให้ และพร้อมด้วย เลขที่ฉลากอาหารให้คุณด้วย


เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนทุกอย่างแล้ว ก็มาถึงการทำตลาด คุณก็ไปติดต่อตามร้านค้าทั่วไป และอย่าลืมบอกด้วยว่า น้ำดื่มของคุณได้การรับรองจาก อย. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หรือคุณจะเอาน้ำดื่มของคุณไปเสนอตามร้านขายอาหารทั่วไปก็ได้ เช่น ร้านอาหารตามส่ง ร้านเนื้อย่าง หรือสวนอาหาร เพราะร้านพวกนี้เขาอยากมีรายได้เพิ่มขึ้นอยู่แล้ว

การผลิตน้ำบรรจุขวดขาย เป็นการลงทุนค้านข้างสูง แต่สามารถเก็บกินได้นาน และกำไรดีมากๆ ด้วย workdeena จะคำนวนต้นทุนให้เพื่อนๆ ดูกัน
ถ้าคุณผลิตน้ำถัง 20 ลิตร

ต้นทุนในการผลิตน้ำอยู่ที่ 2 บาทไม่เกินนี้ (ไม่รวมราคาถังเปล่านะ เพราะถังสามารถนำกลับมาใช้ได้อีก)
ส่งขายในราคา 7-8 บาท
ราคาหน้าร้านอยู่ที่ 12 บาท/ถัง
ถ้าเป็นขวดใส 1/2 ลิตร

ต้นทุนอยู่ที่ 1.50 บาท/ขวด
ราคาส่งอยู่ที่ 3 บาท(แบบขวดจะได้กำไรน้อยกว่าแบบบรรจุถัง เพราะต้นทุนขวด)
ราคาหน้าร้านอยู่ที่ 7 บาท
- ถ้าเพื่อนๆ คนไหนสนใจและพอมีทุนอยู่บ้าง workdeena ก็เห็นว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพอิสระที่น่าสนใจนะ เพราะตลาดน้ำไม่มีตัน มีแต่จะโตขึ้นทุกวัน มันขึ้นอยู่กับการตลาดของคุณที่ไม่เหมือนใคร

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม