“อุด้งหมูตุ๋น” ที่ชื่อเมนูเป็นจุดขายที่ดี พร้อมกันนี้ก็ยังมี “กวยจั๊บน้ำใส” เมนูธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ควบคู่ด้วย
@@@@
วิทยา บุญญธนาภิวัฒน์ เจ้าของร้าน “สมบุญโภชนา” เล่าว่า เปิดร้านขายอาหารจานด่วนมานาน รวมถึง “อุด้งหมูตุ๋น” และ “กวยจั๊บน้ำใส” ซึ่งสำหรับกวยจั๊บน้ำใสนั้นเป็นสูตรดั้งเดิมของที่บ้าน เพราะเดิมเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้วที่บ้านเปิดร้านขายกวยจั๊บ ต้มเลือดหมู อยู่ที่ย่านบางลำพู ซึ่งตนก็ได้รับการถ่ายทอดสูตรการปรุงน้ำซุปมาจากคุณพ่อคุณแม่ แต่เรียนจบด้านการออกแบบตกแต่งก็ต้องการทำงานตามที่เรียนมา จึงเข้าทำงานด้านนี้อยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง จึงไม่ได้สืบทอดกิจการจากพ่อแม่ที่ย่านบางลำพู
หลังจากที่ทำงานตามความฝันของตัวเองมานานจนเริ่มรู้สึกอิ่มตัวกับงานประจำ พร้อมกับลูก ๆ เรียนจบ และอยากที่จะเปิดร้านขายอาหารที่เป็นกิจการของครอบครัว จึงตัดสินใจเปิดร้านขายอาหาร อาทิ กวยจั๊บ แล้วยังเพิ่มเมนูหมูตุ๋น และอีกหลายเมนู เช่น ต้มเลือดหมู เปาะเปี๊ยะสด เป็นต้น
“กวยจั๊บน้ำใสและต้มเลือดหมูนั้น มีเคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่น้ำซุป ที่ต้องมีความหวานน้ำต้มกระดูก ที่สำคัญต้องต้มใช้วันต่อวัน ส่วนเครื่องในหมู พวกกระเพาะหมู ไส้อ่อน ตับ เซี่ยงจี๊ หัวใจหมู ลิ้นหมู ที่นำมาใช้เป็นเครื่องใส่ในกวยจั๊บ จะต้องใช้ของที่สดใหม่ทุกวัน”
วัตถุดิบที่ใช้ทำน้ำซุป มีดังนี้... กระดูกหมูส่วนที่เรียกว่าคาตั๊ง, กระดูกหมูส่วนที่เรียกว่าเอียเล้ง (กระดูกสันหลัง) พวกเครื่องปรุงรสก็มี เกลือ, รากผักชี, น้ำตาลกรวด, พริกไทยเม็ด, ซีอิ๊วขาว, น้ำปลา
การทำน้ำซุป... เริ่มจากนำหม้อใส่น้ำสะอาด ตั้งไฟ ใส่กระดูกหมูส่วนคาตั๊งและส่วนเอียเล้งลงไป ตามด้วยพริกไทยเม็ดทุบพอหยาบ รากผักชี และเกลือ จากนั้นเปิดไฟให้แรงต้มจนน้ำเดือด แล้วก็ลดไฟลงให้ไฟอ่อนตั้งเคี่ยวน้ำซุปไปเรื่อย ๆ ปรุงรสด้วยน้ำตาลกรวด ซีอิ๊วขาว น้ำปลา ตั้งไฟเคี่ยวไปประมาณ 2 ชั่วโมง เท่านี้ก็จะได้น้ำซุปไว้สำหรับทำกวยจั๊บและต้มเลือดหมู ซึ่งเวลาขายก็ต้องตั้งบนไฟอ่อน ๆ ตลอดเวลา
ส่วนพวกเครื่องในหมูนั้น กระเพาะหมูจะเป็นของที่ทำยากที่สุด เพราะจะต้องทำการล้างให้สะอาด มิฉะนั้นจะมีกลิ่น การล้างก็นำกระเพาะหมูล้างด้วยน้ำ พลิกด้านในของกระเพาะหมูออกมา ล้างเมือก ออกให้หมด จากนั้นก็ต้องนำกระเพาะหมูไปต้มกับพริกไทยเม็ดทุบพอหยาบ ใช้เวลาต้มประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง
เครื่องในอื่น ๆ พวก ไส้อ่อน ตับ เซี่ยงจี๊ หัวใจหมู ลิ้นหมู จะใช้เป็นของสด ใช้วิธีลวกในน้ำร้อนแล้วใส่เป็นเครื่อง ใส่ในกวยจั๊บหรือต้มเลือดหมูได้ทันที
เส้นกวยจั๊บนั้น ก็ใช้เส้นที่มีขายทั่วไป แต่ควรเลือกยี่ห้อที่เส้นเหนียวนุ่ม เวลาต้มออกมาเส้นไม่เละ ผักที่ใส่ในกวยจั๊บน้ำใสของร้าน จะใช้ “ใบตำลึง” ส่วนผักที่ใส่ต้มเลือดหมูนั้นจะใช้ “ผักจิงจูไฉ่”
ราคาขายกวยจั๊บและต้มเลือดหมูนั้นอยู่ที่ชามละ 35 บาท
สำหรับเมนูตุ๋นที่เป็นเมนูที่เพิ่มขึ้นมา วิทยาบอกว่า เพราะมีความชำนาญเรื่องการทำน้ำซุปอยู่แล้ว การทำเมนูตุ๋นจึงเป็นเรื่องที่ไม่ยาก จึงคิดทำเพื่อเป็นเมนูที่เพิ่มเข้ามาในร้าน เพื่อเพิ่มตัวเลือกให้ลูกค้ามากขึ้น
เมนูตุ๋นนั้นจะใช้สมุนไพร 8 อย่าง ได้แก่ อบเชย, โป๊ยกั๊ก, เก๋ากี้, ลูกกระวาน, กระเทียม, พริกไทยเม็ด, รากผักชี, เม็ดผักชี ส่วนเครื่องปรุงรสจะใช้ น้ำตาลกรวด, น้ำตาลปึก, ซีอิ๊วขาวของจีน (จะทำให้ได้รสชาติที่ดีกว่าใช้ซีอิ๊วขาวของไทย มีขายอยู่ย่านเยาวราช) ส่วนวัตถุดิบที่ใช้ตุ๋น ก็มี เอ็นแก้ว และซี่โครงอ่อน
การตุ๋น เริ่มจากนำสมุนไพรทั้ง 8 ชนิด ผสมรวมใส่ในผ้าขาวบางมัดให้แน่น นำน้ำสะอาดใส่หม้อตั้งไฟใส่สมุนไพรที่ห่อไว้และเอ็นแก้วกับกระดูกหมูอ่อนลงไป เปิดไฟแรงต้มจนน้ำเดือดสักพัก ก็ลดไฟให้อ่อนลง ปรุงรสด้วยน้ำตาลกรวด, น้ำตาลปึก, ซีอิ๊วขาวของจีน ตั้งไฟอ่อน ๆ เคี่ยวประมาณ 2-3 ชั่วโมง ก็พร้อมขาย
เมนูหมูตุ๋นนั้น ทำเป็นก๋วยเตี๋ยวขายปกติทั่วไปก็ได้ แต่ที่แปลกใหม่ ขึ้นมาก็คือใช้ “เส้นอุด้ง” มาแทนเส้นก๋วยเตี๋ยว กลายเป็นเมนู “อุด้งหมูตุ๋น” สำหรับเส้นอุด้งนั้นจะต้องทำเตรียมไว้ โดยทำการต้มในน้ำเดือดประมาณ 5 นาที จากนั้นก็นำขึ้นมาแช่ในน้ำเย็น เพื่อให้เส้นเหนียวนุ่ม เวลาจะทำเสิร์ฟลูกค้าก็นำไปลวกในน้ำร้อนอีกครั้งเพื่อให้เส้นร้อน ใส่ชาม ตักหมูตุ๋นใส่ลงไป เติมน้ำซุป เท่านี้ก็พร้อมเสิร์ฟ
ถ้าเป็นก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นชามละ 35 บาท แต่ถ้าเป็นเมนูอุด้งหมูตุ๋น ก็ชามละ 45 บาท
@@@@
ร้านขายกวยจั๊บน้ำใสและอุด้งหมูตุ๋นของวิทยา ตั้งอยู่บนถนนนวลจันทร์ ปากซอยนวลจันทร์ 15 ย่านรามอินทรา ร้านเปิดทุกวัน ยกเว้นวันพุธ ตั้งแต่ 07.00-17.00 น. เบอร์โทรศัพท์คือ 08-9779-2270.
บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์
ขอบคุณที่ เดลินิวส์ www.dailynews.co.th
บทความที่ได้รับความนิยม
-
ตลาดสินค้าสำหรับเกษตรกรเป็นตลาดที่ไม่ควรมองข้าม เพราะความเป็นจริงถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่ โดยเฉพาะอุปกรณ์หรือตัวช่วยในการทำเกษตร ที่ยังมีช่องว...
-
อาชีพอิสระ เพาะเห็ดชนิดต่าง ๆ เงินลงทุน ครั้งแรกประมาณ 8,000 บาท ขึ้นไป (ก้อนเชื้อเห็ด ก้อนละ 3-10 บาท โรงเรือนประมาณ 4,000 บาท ขึ้นไป) ราย...
-
“ทับทิมกรอบ” ขนมหวานไทย ๆ ที่มีรสชาติหอมหวานเป็นที่ถูกใจใคร ๆ หลายคน เป็นขนมที่ทำไม่ยาก ทำขายหารายได้เข้ากระเป๋าได้ดีไม่แพ้อาชีพอื่น อย่างรา...
“สุขเกษม คาเฟ่”ที่รวมผองเพื่อน เมนูอร่อย-สบายสไตล์หรู กลางเมือง
มีเสียตอบรับมากมาย จากเพียงไม่กี่เดือนที่ “สุขเกษม คาเฟ่” น้องใหม่สไตล์ผับแอนด์เรสเตอรองท์ ได้อวดโฉมเปิดให้บริการแก่ชาวเชียงใหม่ โดยยึดทำเลย่านการค้าบริเวณถนนนิมมานเหมินทร์ อ.เมือง ก็ได้กระแสตอบรับกลับมาล้นหลาม ด้วยความโดดเด่นทั้งบรรยากาศการตกแต่งร้านสไตล์วินเทจ แฝงความโมเดิร์น เสน่ห์รสชาติอาหาร อีกทั้งเมนูอร่อยเฉพาะของร้าน ภายใต้การบริหารของหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ จึงทำให้ร้านนี้ครองใจลูกค้า นักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศในเวลาอันรวดเร็ว
“เจนจิรา มั่งคั่ง” หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในหุ้นส่วน “สุขเกษม คาเฟ่” เกริ่นให้ฟังว่า เดิมทีกลุ่มเพื่อนชอบปาร์ตี้สังสรรค์กันเป็นทุนเดิม โดยจะแวะเวียนไปตามบ้านเพื่อนทำอาหารรับประทาน เมื่อถึงจุดหนึ่งจึงเห็นตรงกันว่าน่าจะทำร้านเล็กๆ ขึ้นมาเป็นที่รวมตัวกัน มีบรรยากาศเป็นกันเอง จึงชักชวนกันมาทำโดยรวมตัวกัน 6 คน คือ วีระภัทร อรรถปรียางกูร อภิวัฒน์ สุจริตรักษ์ คชา วาสุเทพรังสรรค์ พูนศักดิ์ พักตร์ผ่องศรี ณัฐวุฒิ วิริยะพาณิชภักดี และตนเอง
ร้านตั้งอยู่ซอยสุขเกษม ถนนนิมมานเหมินทร์ สาเหตุที่เลือกเพราะ เป็นย่านการค้าที่สำคัญและได้รับความนิยมอย่างมากในส่วน ของชาวเชียงใหม่เอง และนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติที่เดินทางมา แม้ว่าจะมีร้านค้า ร้านอาหารมากมาย การแข่งขันสูง แต่ถือว่าคุ้มค่ากับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น โดยชูจุดเด่นของร้าน ทั้งสไตล์การตกแต่งสไตล์วินเทจที่เก่าแต่ไม่แก่เหมาะ สำหรับทุกเพศทุกวัน และการรับประทานอาหารแบบครอบครัว
“แม้ว่าย่านนี้จะมีร้านอาหาร ผับแอนด์เรสเตอรองท์มากมายให้เลือก แต่ร้านเราเป็นร้านอาหารติดแอร์ พร้อมดนตรีอะคูสติกแห่งเดียวในย่านนี้ ที่พร้อมรองรับทุกเพศทุกวัย ทั้งนักศึกษา วัยทำงานและครอบครัว ร่วมรับประทานอาหารได้อย่างไม่ต้องเคอะเขิน นอกจากบรรยากาศสบายๆ แล้ว ยังได้สัมผัสรสชาติอาหารที่มีเอกลักษณ์ เมนูเฉพาะตัว ที่สำคัญราคาไม่แพงอีกด้วย” เจนจิรากล่าว
ส่วนการตกแต่งร้าน “วีระภัทร อรรถปรียางกูร” บอกว่า แบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วนห้องแอร์ ภายในตกแต่งสไตล์วินเทจที่ยังติดกลิ่นอายความเป็นโมเดิร์น สมัยใหม่ผสมผสานกัน ผนังสีเหลืองให้ความรู้สึกอบอุ่น นวลตา ผนังถูกประดับตกแต่งด้วยรูปภาพโบราณ ส่วนเฟอร์นิเจอร์จะเน้นของเก่าที่มีตามบ้านแต่ละคนนำมาปรับปรุง ปัดฝุ่นแล้วนำมาใช้ใหม่ ส่วนด้านนอกจะมีน้ำพุประดับอย่างสวยงาม ได้บรรยากาศรับประทานอาหารท่ามกลาง สายน้ำไหลริน
“ตั้งแต่เปิดให้บริการเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีทั้งลูกค้าใหม่ ลูกค้าเก่า แต่ก็ยังติดขัดปัญหาบริหารจัดการบ้าง เพราะเป็นมือใหม่ แต่สิ่งที่ลูกค้าสัมผัสได้ต่อเนื่อง ตั้งแต่วันแรกคือความใส่ใจในการบริการ เพราะหุ้นส่วนทุกคนจะให้บริการด้วยตนเองและเป็นกันเอง” วีระภัทรกล่าวและว่า เมื่อมาที่ร้านนอกจากจะได้ลิ้มรสอาหารอร่อยอย่างเมนูเด็ด ขาหมูในตำนาน หรือหมูจุ่มสุขเกษม และอื่นๆ อีกหลายเมนูแล้ว ลูกค้าจะเพลิดเพลินกับเพลงอะคูสติกใสๆ ในบรรยากาศสังสรรค์กับเพื่อนฝูงด้วย
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ “สุขเกษม คาเฟ่” ได้รับการตอบรับค่อนข้างดีในระยะเวลาอันรวดเร็ว วีระภัทร ยอมรับว่า นอกจากการตลาดแบบปากต่อปากแล้ว การใช้โชเชียลเน็ตเวิร์ก ทั้ง www.facebook.com/sukhasemcafe และ www.twitter.com/sukhasemcafe เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทำให้ลูกค้าทั้งกลุ่มวัยรุ่น และคนทำงานขยายแพร่หลายได้รวดเร็ว โดยขณะนี้มีสมาชิกในส่วนของเฟสบุ๊กกว่า 1,000 คน ทั้งคนเชียงใหม่และต่างพื้นที่
ทว่า ผู้บริหารมือใหม่ทั้งหกคน ก็ไม่ได้หยุดเพียงแค่นี้ เพราะการที่ลูกค้าจดจำได้เป็นผลพวงให้พวกเขา วางแผนต่อยอดขยายสาขาในอนาคต โดยคงคอนเซ็ปต์เดิมแต่ใหญ่กว่า เชื่อว่าลูกค้าจะยังคงจดจำและตามไปใช้บริการเช่นเดียวกัน
ขอขอบคุณเนื้อหาข้อมูล คุณภาพดี โดย : วรัทยา ไชยลังกา หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
คลับแอสทีเรียสร้างรายได้
“เจนจิรา มั่งคั่ง” หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในหุ้นส่วน “สุขเกษม คาเฟ่” เกริ่นให้ฟังว่า เดิมทีกลุ่มเพื่อนชอบปาร์ตี้สังสรรค์กันเป็นทุนเดิม โดยจะแวะเวียนไปตามบ้านเพื่อนทำอาหารรับประทาน เมื่อถึงจุดหนึ่งจึงเห็นตรงกันว่าน่าจะทำร้านเล็กๆ ขึ้นมาเป็นที่รวมตัวกัน มีบรรยากาศเป็นกันเอง จึงชักชวนกันมาทำโดยรวมตัวกัน 6 คน คือ วีระภัทร อรรถปรียางกูร อภิวัฒน์ สุจริตรักษ์ คชา วาสุเทพรังสรรค์ พูนศักดิ์ พักตร์ผ่องศรี ณัฐวุฒิ วิริยะพาณิชภักดี และตนเอง
ร้านตั้งอยู่ซอยสุขเกษม ถนนนิมมานเหมินทร์ สาเหตุที่เลือกเพราะ เป็นย่านการค้าที่สำคัญและได้รับความนิยมอย่างมากในส่วน ของชาวเชียงใหม่เอง และนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติที่เดินทางมา แม้ว่าจะมีร้านค้า ร้านอาหารมากมาย การแข่งขันสูง แต่ถือว่าคุ้มค่ากับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น โดยชูจุดเด่นของร้าน ทั้งสไตล์การตกแต่งสไตล์วินเทจที่เก่าแต่ไม่แก่เหมาะ สำหรับทุกเพศทุกวัน และการรับประทานอาหารแบบครอบครัว
“แม้ว่าย่านนี้จะมีร้านอาหาร ผับแอนด์เรสเตอรองท์มากมายให้เลือก แต่ร้านเราเป็นร้านอาหารติดแอร์ พร้อมดนตรีอะคูสติกแห่งเดียวในย่านนี้ ที่พร้อมรองรับทุกเพศทุกวัย ทั้งนักศึกษา วัยทำงานและครอบครัว ร่วมรับประทานอาหารได้อย่างไม่ต้องเคอะเขิน นอกจากบรรยากาศสบายๆ แล้ว ยังได้สัมผัสรสชาติอาหารที่มีเอกลักษณ์ เมนูเฉพาะตัว ที่สำคัญราคาไม่แพงอีกด้วย” เจนจิรากล่าว
ส่วนการตกแต่งร้าน “วีระภัทร อรรถปรียางกูร” บอกว่า แบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วนห้องแอร์ ภายในตกแต่งสไตล์วินเทจที่ยังติดกลิ่นอายความเป็นโมเดิร์น สมัยใหม่ผสมผสานกัน ผนังสีเหลืองให้ความรู้สึกอบอุ่น นวลตา ผนังถูกประดับตกแต่งด้วยรูปภาพโบราณ ส่วนเฟอร์นิเจอร์จะเน้นของเก่าที่มีตามบ้านแต่ละคนนำมาปรับปรุง ปัดฝุ่นแล้วนำมาใช้ใหม่ ส่วนด้านนอกจะมีน้ำพุประดับอย่างสวยงาม ได้บรรยากาศรับประทานอาหารท่ามกลาง สายน้ำไหลริน
“ตั้งแต่เปิดให้บริการเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีทั้งลูกค้าใหม่ ลูกค้าเก่า แต่ก็ยังติดขัดปัญหาบริหารจัดการบ้าง เพราะเป็นมือใหม่ แต่สิ่งที่ลูกค้าสัมผัสได้ต่อเนื่อง ตั้งแต่วันแรกคือความใส่ใจในการบริการ เพราะหุ้นส่วนทุกคนจะให้บริการด้วยตนเองและเป็นกันเอง” วีระภัทรกล่าวและว่า เมื่อมาที่ร้านนอกจากจะได้ลิ้มรสอาหารอร่อยอย่างเมนูเด็ด ขาหมูในตำนาน หรือหมูจุ่มสุขเกษม และอื่นๆ อีกหลายเมนูแล้ว ลูกค้าจะเพลิดเพลินกับเพลงอะคูสติกใสๆ ในบรรยากาศสังสรรค์กับเพื่อนฝูงด้วย
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ “สุขเกษม คาเฟ่” ได้รับการตอบรับค่อนข้างดีในระยะเวลาอันรวดเร็ว วีระภัทร ยอมรับว่า นอกจากการตลาดแบบปากต่อปากแล้ว การใช้โชเชียลเน็ตเวิร์ก ทั้ง www.facebook.com/sukhasemcafe และ www.twitter.com/sukhasemcafe เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทำให้ลูกค้าทั้งกลุ่มวัยรุ่น และคนทำงานขยายแพร่หลายได้รวดเร็ว โดยขณะนี้มีสมาชิกในส่วนของเฟสบุ๊กกว่า 1,000 คน ทั้งคนเชียงใหม่และต่างพื้นที่
ทว่า ผู้บริหารมือใหม่ทั้งหกคน ก็ไม่ได้หยุดเพียงแค่นี้ เพราะการที่ลูกค้าจดจำได้เป็นผลพวงให้พวกเขา วางแผนต่อยอดขยายสาขาในอนาคต โดยคงคอนเซ็ปต์เดิมแต่ใหญ่กว่า เชื่อว่าลูกค้าจะยังคงจดจำและตามไปใช้บริการเช่นเดียวกัน
ขอขอบคุณเนื้อหาข้อมูล คุณภาพดี โดย : วรัทยา ไชยลังกา หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
คลับแอสทีเรียสร้างรายได้
เสื้อผ้าเด็กแฟชั่น เทรนด์เกาหลี ฟีเวอร์
ต้องยอมรับว่ากระแส “เกาหลีฟีเวอร์” ในไทยเรามาแรงระยะหนึ่งแล้ว และจนถึงวันนี้ก็ยังแรงอยู่ ซึ่งนอกจากละคร-เพลงเกาหลีแล้ว สินค้าที่เกี่ยวเนื่องก็เป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ดีของผู้ประกอบหลากหลาย แม้แต่อาชีพผลิต-ขาย “เสื้อผ้าเด็ก” ก็ด้วย อย่างรายที่มีข้อมูลมาให้ลองพิจารณากันในวันนี้...
ลักขณา ศุภโชคพาณิชย์ วัย 62 ปี เจ้าของไอเดีย เล่าว่า ยึดอาชีพตัดเย็บเสื้อผ้ามา กว่า 30 ปี พออายุมากขึ้น ประกอบกับความนิยมในการผลิตเสื้อผ้าสั่งตัดลดความนิยมลง เพราะคนปัจจุบันหันมาใส่เสื้อผ้าสำเร็จรูปมากขึ้น ทำให้ต้องหยุดอาชีพดังกล่าวไประยะหนึ่ง จนเมื่อครอบครัวมีหลานสาวจึงคิดจะตัดชุดเป็นของขวัญให้หลานสาว และด้วยความที่ ชื่นชอบละครเกาหลีมาก จึงเลือกที่จะตัดชุดประจำชาติเกาหลี หรือ “ชุดฮันบก” จนกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นอาชีพตัดเสื้อผ้าเด็กสไตล์เกาหลี
อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดจะทำอาชีพนี้จริงจัง ลูกชายก็แนะนำว่า ถ้าเปิดร้านจะต้องลงทุนมาก อีกทั้งถ้าคิดทำทั่วไป จะไม่มีทางสู้สินค้าที่มีอยู่แล้วได้ เพราะมีข้อจำกัดหลายด้าน ทั้งเงินทุน การตลาด อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือ ดังนั้นแบบที่จะทำขึ้นจึงต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่ซ้ำแบบใคร โดยใช้ชื่อแบรนด์ “แปมแปม” ตามชื่อหลานที่เป็นแรงบันดาลใจ
“มาสะดุดที่ชุดเกาหลี เพราะเข้ากับกระแสนิยม อีกทั้งเป็นแฟนประจำละครแนวนี้ด้วย จึงคิดว่าน่าจะทำได้ อีกทั้งชุดเกาหลีมีการตัดเย็บค่อนข้างยาก มีรายละเอียดมาก คนที่คิดทำเลียนแบบโดยหวังเรื่องรายได้เป็นหลัก ก็คงไม่ลงมาทำ เพราะไม่คุ้มค่า ดังนั้นจึงตัดเรื่องคู่แข่งออกไปได้ระดับหนึ่ง” ลักขณาอธิบาย
ก่อนจะบอกอีกว่า ความตั้งใจแรกจะให้เป็นชุดนอน เพราะลักษณะชุดค่อนข้างหลวม แต่ลูกค้าที่ซื้อไปมักนำไปให้ลูก ๆ ใส่เที่ยว จึงกลายเป็นชุดที่สามารถใช้งานได้หลากหลายขึ้น การออกแบบ นั้นหากเป็นต้นตำรับชุดฮันบกแท้จะใส่ค่อนข้าง ยาก เพราะมีอุปกรณ์หลายชิ้น ทั้ง “ชอกอรี” ซึ่งเป็นแจ็กเกตสั้นครึ่งตัวบน “โครึม” เป็นผ้าที่เป็นเส้นยาว ๆ สองเส้นผูกไว้ด้านหน้า และ “ชีมา” ซึ่งเป็นกระโปรงที่ยาวตั้งแต่ใต้อกถึงข้อเท้าเมื่อมาทำเป็นชุดเด็กก็ต้องประยุกต์ให้เป็นชุดสำเร็จรูปในตัว เพื่อความสะดวกในการสวมใส่
นอกจากชุดประจำชาติเกาหลี ก็ยังต่อ ยอดสินค้าออกไปเพิ่มขึ้น อาทิ การประยุกต์ชุดฮันบกแบบเดิมให้เป็นชุดแขนกุด เพื่อ ให้ใส่สบายเหมาะกับสภาพอากาศเมืองไทย และหยิบชุดประจำชาติญี่ปุ่นและจีนมาผลิตเพิ่ม เพื่อเป็นทางเลือก ให้ลูกค้า ให้เกิดความหลากหลาย อาทิ “ชุดยูกาตะ” ชุดประจำชาติของญี่ปุ่น “ชุดจิม เบอิ” หรือเสื้อคลุมของชาวญี่ปุ่น รวมถึง “ชุดกี่เพ้า” ของ จีน ที่ทำการประยุกต์เป็นชุดของเด็ก
ลักขณาเล่าต่อว่า ใช้ทุนเริ่มต้นประมาณ 5,000 บาท ส่วนใหญ่เป็นค่าวัตถุดิบ คือผ้า และลองผิดลองถูกในเรื่องแบบ โดยวัตถุดิบคือผ้าจะไปเลือกซื้อด้วยตัวเองตามแหล่งขายผ้า เช่น สำเพ็ง โดยเน้นใช้ผ้าฝ้ายเกรดเอ คุณภาพดี เนื้อเรียบเนียนที่ไม่เป็นอันตรายต่อผิวของเด็ก ซึ่งทุนวัตถุดิบต่อชุดจะอยู่ที่ประมาณ 50% จากราคาขาย
การผลิต จะเป็นฝีมือการตัดเย็บแบบแฮนด์เมด แต่ละตัวจะมีรายละเอียด แตกต่างกันไป ทั้งเนื้อผ้า ลวดลาย และลูกเล่นต่าง ๆ โดยสินค้าจะมีสำหรับเด็กตั้งแต่อายุ 1-6 ขวบ โดยมี 4 ขนาดให้เลือกคือ S สำหรับเด็กส่วนสูง 75-85 ซม. น้ำหนัก 9-11 กก., M ส่วนสูง 85-95 ซม. น้ำหนัก 11-13 กก., L ส่วนสูง 95-105 ซม. น้ำหนัก 14-16 กก. และ XL ส่วนสูง 105-115 ซม. น้ำหนัก 17-20 กก. โดยราคาขายเริ่มตั้งแต่ 219 บาท ไปจนถึงราคา 279 บาท นอกจากนี้ก็ยังรับผลิตตามคำสั่งซื้ออีกด้วย
สำหรับช่องทางการตลาดนั้น จะใช้วิธีขายผ่านเว็บไซต์ pampam.weloveshopping.com เป็นหลัก และก็ยังมีการไปออกร้านเพื่อขายตามย่านธุรกิจ ย่านออฟฟิศ เนื่องจากพฤติกรรมลูกค้าส่วนใหญ่ยังอยากสัมผัสเนื้อผ้าและเห็นสินค้าของจริง จึงเสริมการตลาดด้วยการไปออกบูธขายตามย่านธุรกิจ ย่านออฟฟิศเดือนละ 1-2 ครั้ง โดย กลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นพ่อแม่ที่มีลูกสาววัยตั้งแต่ 1-6 ขวบ
“ช่องทางการตลาดออนไลน์นี้เหมาะกับธุรกิจเล็ก ๆ มาก เพราะไม่จำเป็นต้องลงทุนสูงจนเกินไป แต่สิ่งสำคัญคือการรักษาความซื่อสัตย์ และคงคุณภาพมาตรฐานการผลิตให้ได้สม่ำเสมอ ถึงจะทำให้สินค้าอยู่ได้ในตลาด” ลักขณา เจ้าของงานไอเดียกล่าวแนะนำ
ใครสนใจดูรูปแบบสินค้าของลักขณา ก็คลิกดูได้ในเว็บไซต์ที่ว่ามาข้างต้น หรือต้องการติดต่อทางโทรศัพท์ ก็ โทร. 0-2925-7142, 08-9110-1377 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่าง “ช่องทางทำกิน” ที่ “อิงกระแสเกาหลีฟีเวอร์” รวมถึงญี่ปุ่น จีน หากใครคิดได้-ทำแล้วโดน ก็จะเป็นอาชีพที่ทำเงินได้อย่างงาม.
ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : รายงาน ที่มา เดลินิวส์
ลักขณา ศุภโชคพาณิชย์ วัย 62 ปี เจ้าของไอเดีย เล่าว่า ยึดอาชีพตัดเย็บเสื้อผ้ามา กว่า 30 ปี พออายุมากขึ้น ประกอบกับความนิยมในการผลิตเสื้อผ้าสั่งตัดลดความนิยมลง เพราะคนปัจจุบันหันมาใส่เสื้อผ้าสำเร็จรูปมากขึ้น ทำให้ต้องหยุดอาชีพดังกล่าวไประยะหนึ่ง จนเมื่อครอบครัวมีหลานสาวจึงคิดจะตัดชุดเป็นของขวัญให้หลานสาว และด้วยความที่ ชื่นชอบละครเกาหลีมาก จึงเลือกที่จะตัดชุดประจำชาติเกาหลี หรือ “ชุดฮันบก” จนกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นอาชีพตัดเสื้อผ้าเด็กสไตล์เกาหลี
อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดจะทำอาชีพนี้จริงจัง ลูกชายก็แนะนำว่า ถ้าเปิดร้านจะต้องลงทุนมาก อีกทั้งถ้าคิดทำทั่วไป จะไม่มีทางสู้สินค้าที่มีอยู่แล้วได้ เพราะมีข้อจำกัดหลายด้าน ทั้งเงินทุน การตลาด อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือ ดังนั้นแบบที่จะทำขึ้นจึงต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่ซ้ำแบบใคร โดยใช้ชื่อแบรนด์ “แปมแปม” ตามชื่อหลานที่เป็นแรงบันดาลใจ
“มาสะดุดที่ชุดเกาหลี เพราะเข้ากับกระแสนิยม อีกทั้งเป็นแฟนประจำละครแนวนี้ด้วย จึงคิดว่าน่าจะทำได้ อีกทั้งชุดเกาหลีมีการตัดเย็บค่อนข้างยาก มีรายละเอียดมาก คนที่คิดทำเลียนแบบโดยหวังเรื่องรายได้เป็นหลัก ก็คงไม่ลงมาทำ เพราะไม่คุ้มค่า ดังนั้นจึงตัดเรื่องคู่แข่งออกไปได้ระดับหนึ่ง” ลักขณาอธิบาย
ก่อนจะบอกอีกว่า ความตั้งใจแรกจะให้เป็นชุดนอน เพราะลักษณะชุดค่อนข้างหลวม แต่ลูกค้าที่ซื้อไปมักนำไปให้ลูก ๆ ใส่เที่ยว จึงกลายเป็นชุดที่สามารถใช้งานได้หลากหลายขึ้น การออกแบบ นั้นหากเป็นต้นตำรับชุดฮันบกแท้จะใส่ค่อนข้าง ยาก เพราะมีอุปกรณ์หลายชิ้น ทั้ง “ชอกอรี” ซึ่งเป็นแจ็กเกตสั้นครึ่งตัวบน “โครึม” เป็นผ้าที่เป็นเส้นยาว ๆ สองเส้นผูกไว้ด้านหน้า และ “ชีมา” ซึ่งเป็นกระโปรงที่ยาวตั้งแต่ใต้อกถึงข้อเท้าเมื่อมาทำเป็นชุดเด็กก็ต้องประยุกต์ให้เป็นชุดสำเร็จรูปในตัว เพื่อความสะดวกในการสวมใส่
นอกจากชุดประจำชาติเกาหลี ก็ยังต่อ ยอดสินค้าออกไปเพิ่มขึ้น อาทิ การประยุกต์ชุดฮันบกแบบเดิมให้เป็นชุดแขนกุด เพื่อ ให้ใส่สบายเหมาะกับสภาพอากาศเมืองไทย และหยิบชุดประจำชาติญี่ปุ่นและจีนมาผลิตเพิ่ม เพื่อเป็นทางเลือก ให้ลูกค้า ให้เกิดความหลากหลาย อาทิ “ชุดยูกาตะ” ชุดประจำชาติของญี่ปุ่น “ชุดจิม เบอิ” หรือเสื้อคลุมของชาวญี่ปุ่น รวมถึง “ชุดกี่เพ้า” ของ จีน ที่ทำการประยุกต์เป็นชุดของเด็ก
ลักขณาเล่าต่อว่า ใช้ทุนเริ่มต้นประมาณ 5,000 บาท ส่วนใหญ่เป็นค่าวัตถุดิบ คือผ้า และลองผิดลองถูกในเรื่องแบบ โดยวัตถุดิบคือผ้าจะไปเลือกซื้อด้วยตัวเองตามแหล่งขายผ้า เช่น สำเพ็ง โดยเน้นใช้ผ้าฝ้ายเกรดเอ คุณภาพดี เนื้อเรียบเนียนที่ไม่เป็นอันตรายต่อผิวของเด็ก ซึ่งทุนวัตถุดิบต่อชุดจะอยู่ที่ประมาณ 50% จากราคาขาย
การผลิต จะเป็นฝีมือการตัดเย็บแบบแฮนด์เมด แต่ละตัวจะมีรายละเอียด แตกต่างกันไป ทั้งเนื้อผ้า ลวดลาย และลูกเล่นต่าง ๆ โดยสินค้าจะมีสำหรับเด็กตั้งแต่อายุ 1-6 ขวบ โดยมี 4 ขนาดให้เลือกคือ S สำหรับเด็กส่วนสูง 75-85 ซม. น้ำหนัก 9-11 กก., M ส่วนสูง 85-95 ซม. น้ำหนัก 11-13 กก., L ส่วนสูง 95-105 ซม. น้ำหนัก 14-16 กก. และ XL ส่วนสูง 105-115 ซม. น้ำหนัก 17-20 กก. โดยราคาขายเริ่มตั้งแต่ 219 บาท ไปจนถึงราคา 279 บาท นอกจากนี้ก็ยังรับผลิตตามคำสั่งซื้ออีกด้วย
สำหรับช่องทางการตลาดนั้น จะใช้วิธีขายผ่านเว็บไซต์ pampam.weloveshopping.com เป็นหลัก และก็ยังมีการไปออกร้านเพื่อขายตามย่านธุรกิจ ย่านออฟฟิศ เนื่องจากพฤติกรรมลูกค้าส่วนใหญ่ยังอยากสัมผัสเนื้อผ้าและเห็นสินค้าของจริง จึงเสริมการตลาดด้วยการไปออกบูธขายตามย่านธุรกิจ ย่านออฟฟิศเดือนละ 1-2 ครั้ง โดย กลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นพ่อแม่ที่มีลูกสาววัยตั้งแต่ 1-6 ขวบ
“ช่องทางการตลาดออนไลน์นี้เหมาะกับธุรกิจเล็ก ๆ มาก เพราะไม่จำเป็นต้องลงทุนสูงจนเกินไป แต่สิ่งสำคัญคือการรักษาความซื่อสัตย์ และคงคุณภาพมาตรฐานการผลิตให้ได้สม่ำเสมอ ถึงจะทำให้สินค้าอยู่ได้ในตลาด” ลักขณา เจ้าของงานไอเดียกล่าวแนะนำ
ใครสนใจดูรูปแบบสินค้าของลักขณา ก็คลิกดูได้ในเว็บไซต์ที่ว่ามาข้างต้น หรือต้องการติดต่อทางโทรศัพท์ ก็ โทร. 0-2925-7142, 08-9110-1377 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่าง “ช่องทางทำกิน” ที่ “อิงกระแสเกาหลีฟีเวอร์” รวมถึงญี่ปุ่น จีน หากใครคิดได้-ทำแล้วโดน ก็จะเป็นอาชีพที่ทำเงินได้อย่างงาม.
ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : รายงาน ที่มา เดลินิวส์
‘ตกแต่งรถแต่งงาน’ อาชีพ บรรเจิดเงินดี
อาชีพบางอาชีพนอกจากจะผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายแล้ว หากรู้จักต่อยอด พลิกแพลง ปรับให้ตรงใจกับกลุ่มเป้าหมาย ก็สามารถที่จะเป็นช่องทางเสริมเพิ่มรายได้ให้อีกทาง อย่างเช่นบริการ “ตกแต่งรถแต่งงาน” ที่พลิกแพลงจากอาชีพประดิษฐ์โบว์ริบบิ้นห่อของขวัญ ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอ...
ปรารถนา พินิจสารภิรมย์ เจ้าของงานบริการที่ต่อยอดจากอาชีพเดิมอย่างการรับผลิตริบบิ้นและโบว์ผูกของขวัญ เล่าว่า เดิมทีเป็นพนักงานบริษัทต่อมารู้สึกเบื่อจึงมองหาช่องทางในการทำอาชีพอิสระ คิดได้ว่าตนเองมีวัตถุดิบเช่นโบว์และริบบิ้นอยู่เป็นจำนวนมาก จึงลองประดิษฐ์ชิ้นงานและทดลองจำหน่ายทางอินเทอร์เน็ต ประกาศขายสินค้าตามฟรีเว็บไซต์ต่าง ๆ ปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดี
ส่วนอาชีพบริการ “แต่งรถแต่งงาน” ให้คู่บ่าวสาวนั้น ปรารถนาบอกว่า รับทำตรงนี้มาได้ประมาณ 1 ปีเศษ โดยได้แรงบันดาลใจจากการที่มีลูกค้ารายหนึ่งโทรฯเข้ามาสั่งสินค้า โดยเน้นว่าอยากได้ชิ้นงานที่มีรูปแบบไม่เหมือนใคร และอยากให้เป็นรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เพื่อที่จะนำไปเป็นของที่ระลึกและของขวัญสำหรับใช้ในงานแต่งงาน เมื่อส่งชิ้นงานที่ทำเสร็จให้กับลูกค้า ปรากฏว่าลูกค้าชอบมาก จึงมองว่าน่าจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการสร้างรายได้ โดยสามารถใช้วัสดุและวัตถุดิบที่มีอยู่มาต่อยอด จึงรับบริการตกแต่งรถคู่แต่งงานเรื่อยมา
“ลูกค้าชอบใจมาก จึงคิดว่าน่าจะแตกไลน์ให้กับสินค้าได้ อีกทั้งปัจจุบันยังไม่ค่อยพบว่าในตลาดมีงานบริการด้านนี้ จึงตัดสินใจให้บริการรับออกแบบและประดิษฐ์โบว์ริบบิ้นหรือผ้าผูกรถสำหรับคู่แต่งงาน ลูกค้าหลายคนก็งง ๆ ว่ามีอาชีพแบบนี้ด้วยหรือ”ปรารถนาไม่มีหน้าร้าน แต่อาศัยการขายสินค้าและบริการผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต ที่ www.jjmalls.com/9060 ซึ่งเป็นการลงทุนที่ไม่มาก แต่ก็ต้องมีเทคนิคในการเข้าถึงลูกค้าเช่นกัน โดยปรารถนาบอกว่า “คำขึ้นต้น” สำหรับให้ลูกค้า “ค้นหา” ในอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องสำคัญ ผู้ประกอบการจำเป็นที่จะต้องหาคำที่คาดว่าลูกค้ามักจะใช้ในการค้นหา เป็นชื่อสำหรับสินค้าหรือบริการให้ชัดเจน เพราะจะเป็นการทำให้ลูกค้ามีโอกาสเสิร์ชหรือค้นหาเข้ามาถึงสินค้าและบริการของเราได้ง่ายขึ้น
สำหรับรูปแบบของชิ้นงาน มีตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่ขึ้นกับแบบและความต้องการของลูกค้า รูปแบบอาจไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก แต่จะแตกต่างกันในเรื่องของรายละเอียดและวัสดุที่ใช้งานมากกว่า ทำให้ปรารถนาบอกว่า งานบริการด้านนี้กล้าพูดได้เลยว่าไม่มีทางตัน เพราะส่วนใหญ่จะออกแบบตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งจะไม่ค่อยซ้ำ เพราะลูกค้าก็ต้องการชิ้นงานที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
เป็นชิ้นงานที่สื่อความหมายได้เฉพาะตัว
เจ้าของไอเดียกล่าวต่อไปว่า แม้จะเป็นงานที่ดูทำไม่ยาก แต่ก็มีเรื่องที่ต้องคำนึงถึงและเป็นหลักสำคัญในการบริการและผลิตงานให้ลูกค้า กล่าวคือ ชิ้นงานที่ตกแต่งต้องแน่นหนา ต้องอยู่ในสภาพแข็งแรงพร้อมใช้งาน ไม่หลุด หรือเสียหายเมื่อลูกค้านำไปใช้ เพราะเป็นงานมงคลและมีความเชื่อผสมอยู่ ถ้าชิ้นงานไม่แข็งแรงคงทน ก็จะมีผลต่อความรู้สึกของลูกค้า นอกจากนี้ ชิ้นงานก็ต้องเลือกใช้วัสดุที่จะไม่ไปทำอันตรายหรือไปสร้างความเสียหายให้กับตัวรถด้วย เพราะชิ้นงานส่วนใหญ่จะต้องติดหรือผูกกับรถของลูกค้าตลอดเวลา
ทุนเบื้องต้นอาชีพนี้ ใช้ประมาณ 3,000 บาทขึ้นไป ส่วนทุนวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ 40% จากราคาขายหรือบริการ ซึ่งราคาก็เริ่มตั้งแต่ 500 บาท ไปจนถึง 4,000 บาท ขึ้นกับรูปแบบ ขนาด และวัสดุที่ใช้
อุปกรณ์ในการทำ เจ้าของงานงานบอกว่า มีน้อยชิ้นมาก อาทิ ปืนยิงกาวร้อนหรือกาวซิลิโคน, กรรไกร, คัทเตอร์, เข็มสำหรับเย็บผ้า ส่วนวัสดุในการทำประกอบด้วย ดอกไม้ผ้าชนิดต่าง ๆ, โบว์, ริบบิ้น, ตุ๊กตาสำหรับตกแต่ง (ใช้แทนสัญลักษณ์คู่แต่งงาน), โฟม, ผ้าลูกไม้ 2 ชนิด คือ ผ้าแพร และผ้าไหมแก้ว
ขั้นตอนการทำ หลังรับทราบความต้องการของลูกค้าก็มากำหนดรูปแบบ โดยส่วนใหญ่ถ้าไม่เป็นช่อดอกไม้ก็มักจะเป็นรูปหัวใจ เมื่อกำหนดรูปแบบได้แล้วก็เริ่มจากการนำตุ๊กตาที่ใช้เป็นสัญลักษณ์คู่แต่งงานมาตกแต่งให้เข้ากับแนวคิดของลูกค้า หลังจากนั้นก็ทำการประดิษฐ์ช่อดอกไม้หรือรูปหัวใจโดยการนำดอกไม้ผ้ามายึดติดเข้ากับโฟมด้วยปืนยิงกาวร้อน เสร็จแล้วก็นำตุ๊กตาคู่รักประกอบลงไป จากนั้นนำโบว์หรือริบบิ้นมายึดติดเข้ากัน นำไปผูกหรือตกแต่รอบตัวรถที่จะใช้ในพิธีแต่งงาน เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ
“ลูกค้ามีทั้งที่ให้เราออกไปตกแต่งนอกสถานที่ และสั่งซื้อเข้ามาโดยให้เราจัดส่งไปในรูปของพัสดุ โดยลูกค้านำไปประกอบเอง” เจ้าของอาชีพบริการตกแต่งรถแต่งงานกล่าว
สนใจติดต่อปรารถนา ติดต่อที่บ้านทองจำรัส โทร.08-8493-8155, 08-9488-2951, 08-3781-1927 หรือที่ www.jjmalls.com/9060 และที่อีเมล์ miracle2551@gmail.com ซึ่งนี่ก็เป็นอีกอาชีพแปลก แต่เงินงาม โดยเมืองไทยยังทำอาชีพทำนองนี้ได้อีกหลากหลาย แล้วแต่ใครจะมีไอเดีย.
ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : รายงาน
ที่มา เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th
ปรารถนา พินิจสารภิรมย์ เจ้าของงานบริการที่ต่อยอดจากอาชีพเดิมอย่างการรับผลิตริบบิ้นและโบว์ผูกของขวัญ เล่าว่า เดิมทีเป็นพนักงานบริษัทต่อมารู้สึกเบื่อจึงมองหาช่องทางในการทำอาชีพอิสระ คิดได้ว่าตนเองมีวัตถุดิบเช่นโบว์และริบบิ้นอยู่เป็นจำนวนมาก จึงลองประดิษฐ์ชิ้นงานและทดลองจำหน่ายทางอินเทอร์เน็ต ประกาศขายสินค้าตามฟรีเว็บไซต์ต่าง ๆ ปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดี
ส่วนอาชีพบริการ “แต่งรถแต่งงาน” ให้คู่บ่าวสาวนั้น ปรารถนาบอกว่า รับทำตรงนี้มาได้ประมาณ 1 ปีเศษ โดยได้แรงบันดาลใจจากการที่มีลูกค้ารายหนึ่งโทรฯเข้ามาสั่งสินค้า โดยเน้นว่าอยากได้ชิ้นงานที่มีรูปแบบไม่เหมือนใคร และอยากให้เป็นรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เพื่อที่จะนำไปเป็นของที่ระลึกและของขวัญสำหรับใช้ในงานแต่งงาน เมื่อส่งชิ้นงานที่ทำเสร็จให้กับลูกค้า ปรากฏว่าลูกค้าชอบมาก จึงมองว่าน่าจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการสร้างรายได้ โดยสามารถใช้วัสดุและวัตถุดิบที่มีอยู่มาต่อยอด จึงรับบริการตกแต่งรถคู่แต่งงานเรื่อยมา
“ลูกค้าชอบใจมาก จึงคิดว่าน่าจะแตกไลน์ให้กับสินค้าได้ อีกทั้งปัจจุบันยังไม่ค่อยพบว่าในตลาดมีงานบริการด้านนี้ จึงตัดสินใจให้บริการรับออกแบบและประดิษฐ์โบว์ริบบิ้นหรือผ้าผูกรถสำหรับคู่แต่งงาน ลูกค้าหลายคนก็งง ๆ ว่ามีอาชีพแบบนี้ด้วยหรือ”ปรารถนาไม่มีหน้าร้าน แต่อาศัยการขายสินค้าและบริการผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต ที่ www.jjmalls.com/9060 ซึ่งเป็นการลงทุนที่ไม่มาก แต่ก็ต้องมีเทคนิคในการเข้าถึงลูกค้าเช่นกัน โดยปรารถนาบอกว่า “คำขึ้นต้น” สำหรับให้ลูกค้า “ค้นหา” ในอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องสำคัญ ผู้ประกอบการจำเป็นที่จะต้องหาคำที่คาดว่าลูกค้ามักจะใช้ในการค้นหา เป็นชื่อสำหรับสินค้าหรือบริการให้ชัดเจน เพราะจะเป็นการทำให้ลูกค้ามีโอกาสเสิร์ชหรือค้นหาเข้ามาถึงสินค้าและบริการของเราได้ง่ายขึ้น
สำหรับรูปแบบของชิ้นงาน มีตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่ขึ้นกับแบบและความต้องการของลูกค้า รูปแบบอาจไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก แต่จะแตกต่างกันในเรื่องของรายละเอียดและวัสดุที่ใช้งานมากกว่า ทำให้ปรารถนาบอกว่า งานบริการด้านนี้กล้าพูดได้เลยว่าไม่มีทางตัน เพราะส่วนใหญ่จะออกแบบตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งจะไม่ค่อยซ้ำ เพราะลูกค้าก็ต้องการชิ้นงานที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
เป็นชิ้นงานที่สื่อความหมายได้เฉพาะตัว
เจ้าของไอเดียกล่าวต่อไปว่า แม้จะเป็นงานที่ดูทำไม่ยาก แต่ก็มีเรื่องที่ต้องคำนึงถึงและเป็นหลักสำคัญในการบริการและผลิตงานให้ลูกค้า กล่าวคือ ชิ้นงานที่ตกแต่งต้องแน่นหนา ต้องอยู่ในสภาพแข็งแรงพร้อมใช้งาน ไม่หลุด หรือเสียหายเมื่อลูกค้านำไปใช้ เพราะเป็นงานมงคลและมีความเชื่อผสมอยู่ ถ้าชิ้นงานไม่แข็งแรงคงทน ก็จะมีผลต่อความรู้สึกของลูกค้า นอกจากนี้ ชิ้นงานก็ต้องเลือกใช้วัสดุที่จะไม่ไปทำอันตรายหรือไปสร้างความเสียหายให้กับตัวรถด้วย เพราะชิ้นงานส่วนใหญ่จะต้องติดหรือผูกกับรถของลูกค้าตลอดเวลา
ทุนเบื้องต้นอาชีพนี้ ใช้ประมาณ 3,000 บาทขึ้นไป ส่วนทุนวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ 40% จากราคาขายหรือบริการ ซึ่งราคาก็เริ่มตั้งแต่ 500 บาท ไปจนถึง 4,000 บาท ขึ้นกับรูปแบบ ขนาด และวัสดุที่ใช้
อุปกรณ์ในการทำ เจ้าของงานงานบอกว่า มีน้อยชิ้นมาก อาทิ ปืนยิงกาวร้อนหรือกาวซิลิโคน, กรรไกร, คัทเตอร์, เข็มสำหรับเย็บผ้า ส่วนวัสดุในการทำประกอบด้วย ดอกไม้ผ้าชนิดต่าง ๆ, โบว์, ริบบิ้น, ตุ๊กตาสำหรับตกแต่ง (ใช้แทนสัญลักษณ์คู่แต่งงาน), โฟม, ผ้าลูกไม้ 2 ชนิด คือ ผ้าแพร และผ้าไหมแก้ว
ขั้นตอนการทำ หลังรับทราบความต้องการของลูกค้าก็มากำหนดรูปแบบ โดยส่วนใหญ่ถ้าไม่เป็นช่อดอกไม้ก็มักจะเป็นรูปหัวใจ เมื่อกำหนดรูปแบบได้แล้วก็เริ่มจากการนำตุ๊กตาที่ใช้เป็นสัญลักษณ์คู่แต่งงานมาตกแต่งให้เข้ากับแนวคิดของลูกค้า หลังจากนั้นก็ทำการประดิษฐ์ช่อดอกไม้หรือรูปหัวใจโดยการนำดอกไม้ผ้ามายึดติดเข้ากับโฟมด้วยปืนยิงกาวร้อน เสร็จแล้วก็นำตุ๊กตาคู่รักประกอบลงไป จากนั้นนำโบว์หรือริบบิ้นมายึดติดเข้ากัน นำไปผูกหรือตกแต่รอบตัวรถที่จะใช้ในพิธีแต่งงาน เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ
“ลูกค้ามีทั้งที่ให้เราออกไปตกแต่งนอกสถานที่ และสั่งซื้อเข้ามาโดยให้เราจัดส่งไปในรูปของพัสดุ โดยลูกค้านำไปประกอบเอง” เจ้าของอาชีพบริการตกแต่งรถแต่งงานกล่าว
สนใจติดต่อปรารถนา ติดต่อที่บ้านทองจำรัส โทร.08-8493-8155, 08-9488-2951, 08-3781-1927 หรือที่ www.jjmalls.com/9060 และที่อีเมล์ miracle2551@gmail.com ซึ่งนี่ก็เป็นอีกอาชีพแปลก แต่เงินงาม โดยเมืองไทยยังทำอาชีพทำนองนี้ได้อีกหลากหลาย แล้วแต่ใครจะมีไอเดีย.
ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : รายงาน
ที่มา เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th
'ไอศกรีมโฮมเมด' แข่งขันสูง รายได้สูง
แข่งขันสูง...แต่ยังมีช่องว่าง
ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน ส่งผลให้การทำกิจการ-การทำอาชีพขายไอศกรีม ได้รับการตอบรับดี และมีความก้าวหน้าอย่างมาก รวมถึงมีความแปลกใหม่ให้ได้ลิ้มลองอยู่เสมอ ซึ่งทีม “ช่องทางทำกิน” ก็เคยนำเสนอไปบ้างแล้ว และวันนี้ก็มีข้อมูล “ไอศกรีมโฮมเมด” มานำเสนออีกครั้ง...
ธุรกิจไอศกรีมในไทย มีทั้งแบบเดิม ๆ รวมไปจนถึงการขยายช่องทางมาจากโรงงาน ไอศกรีมของบริษัทต่างชาติยักษ์ใหญ่ด้วยการขายแฟรน ไชส์ไอศกรีม รวมทั้งยังมี “ไอศ กรีมโฮมเมด” ในรูปแบบ และยี่ห้อต่าง ๆ และก็มีไอศกรีมที่สร้างสรรค์ขึ้นเองโดยคนไทย ด้วยรสชาติที่ถูกปากคนไทย อย่างเรา ๆ ประกอบกับยุคนี้ยังมีเครื่องผลิตไอศกรีมจำหน่ายอย่างแพร่หลาย ทำให้การทำไอศกรีมนั้นง่ายขึ้นกว่าในอดีต
แม้มองโดยทั่วไปจะดูเหมือนว่า กิจการไอศกรีมน่าจะถึงจุดอิ่มตัวแล้ว แต่ธุรกิจนี้ยังมีช่องว่าง ยังพอมีทางให้เดินได้อีก และวันนี้คอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” ขอนำเสนอธุรกิจไอศกรีมโฮมเมดเล็ก ๆ แต่น่าสนใจรายหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นแนวทางสำหรับผู้สนใจจะทำธุรกิจไอศกรีมโฮมเมดได้
ปัทมา เอี่ยมวิจารณ์ เป็นเจ้าของธุรกิจไอศกรีมโฮมเมด แบรนด์ “เจลาโต้ คาริโน่” เจ้าตัวบอกว่า เพิ่งจะมาจับธุรกิจนี้ได้ไม่นาน โดยมีที่มาที่ไปคือ ส่วนตัวมีความชอบ สนใจในเรื่องสุขภาพ และมองว่าเมืองไทยเป็นเมืองร้อน ไอศกรีมน่าจะขายได้ และไอศกรีมไขมันต่ำก็กำลังเป็นที่นิยม จึงไปเรียนทำและขอคำปรึกษาจากคนรู้จักกัน จากนั้นได้พยายามปรับปรุงสูตรจนเป็นที่น่าพอใจ
“ที่มาของชื่อแบรนด์คือ จีลาโต้ มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน จี คือ จีน และจีลาโต้ คือคนอิตาลีนำมาปรับปรุง ซึ่งเขาให้เกียรติจีน ก็เลยเรียกว่า จีลาโต้ หรือเจลาโต้ เป็นชื่อสามัญทั่วไปที่ทุกคนมีสิทธิใช้ ส่วนคำว่าคาริโน่ เป็นภาษาอิตาลี แปลเป็นไทยหมายถึง ความน่ารัก อ่อนหวาน” ปัทมาอธิบาย
ไอศกรีมที่ผลิต มีมากกว่า 50 รสชาติ ถ้ารวมผลไม้ตามฤดูกาลก็จะมีมากถึง 60-70 รสชาติ ตัวอย่างรสชาติที่ได้รับความนิยมมาก จะเป็นจำพวก โยเกิร์ตบลูเบอร์รี่ โยเกิร์ตส้ม ทีรามิสุ และ รัมเรซิ่น หรือ ช็อกโกแลตชิพ หากจะเพิ่มรสชาติความอร่อย และเรียกลูกค้าให้ได้มากขึ้น จะต้องขายคู่กับ “วาฟเฟิลโคน” ซึ่งทางร้านนี้ได้ผลิตขึ้นสด ๆ สำหรับลูกค้าที่ชอบการทานไอศกรีมแบบโคน
ปัทมาเล่าต่อไปว่า การลงทุนในธุรกิจไอศกรีมโฮมเมดนี้ เบื้องต้นจะต้องใช้เงินลงทุน 100,000-150,000 บาท ซึ่งเป็นค่าอุปกรณ์ อาทิ เครื่องทำไอศกรีม ตู้แช่ไอศกรีม และตู้เย็น (สำหรับขาย) ยังไม่ได้รวมค่าการตลาด (ถ้ามี) ส่วนการลงทุนในเนื้อไอศกรีมนั้น ก็จะเป็นอีกส่วนหนึ่ง
ยกตัวอย่างการทำไอศกรีมตระกูลนม อาทิ ไอศกรีมรสวานิลลา ปัทมาบอกว่า จะต้องมีส่วนประกอบ คือ หัวเชื้อวานิลลา 280 กรัม, นมพร่องมันเนยไขมันต่ำ 1 กก. และน้ำอุ่น 2,500 ซีซี โดยจะต้องนำน้ำอุ่นผสมกับหัวเชื้อก่อน ตามด้วยนม แล้วนำลงไปปั่นรวมกัน ซึ่งรอบ ๆ เครื่องปั่นไอศกรีมนั้นจะต้องหล่อด้วยน้ำแข็งโรยเกลือ เพื่อกันไม่ให้น้ำแข็งละลาย ซึ่งใช้เวลาปั่นประมาณ 20 นาที
ส่วน ไอศกรีมตระกูลผลไม้ นั้น จะใช้หัวเชื้อที่เป็นน้ำผลไม้ 280 กรัม ผสมกับน้ำอุ่น 2,500 ซีซี ผสม กับน้ำเชื่อม 40 กรัม แล้วนำลงปั่น ใช้เวลาปั่น 17 นาที จากนั้นตักใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ และนำเข้าตู้แช่ ซึ่งมีอุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส
ในปริมาณดังที่กล่าวมา จะตักขายไอศกรีมได้มากกว่า 50 ลูก ขึ้นไป ซึ่งราคาขายนั้น จะขายได้ ในราคา 15-20 บาท ต่อลูกขึ้นไป แล้วแต่ต้นทุน-ทำเล
“ยอมรับว่าการแข่งขันในธุรกิจนี้รุนแรงเหมือนกัน ความเป็นอิตาลีส่วนมากก็จะทำให้แพงไว้ก่อน ดูหรูไว้ก่อน แต่ที่ร้านเน้นที่รสชาติ คุณ ภาพ และจำหน่ายในราคาสมเหตุสมผล ส่วนการทำตลาด ในช่วงแรกจะใช้วิธีออกบูธไปยังพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อต้องการทราบการตอบรับของลูกค้าแต่ละพื้นที่”
ปัจจุบันปัทมาเปิดร้านขายอยู่ด้านข้างมหาวิทยาลัยรังสิต (ด้านเมืองเอก) สนใจธุรกิจไอศกรีมโฮมเมดของ ปัทมา เอี่ยมวิจารณ์ ติดต่อได้ที่ โทร. 0-2533-0756 0-2533-0756 และ 08-5443-9930 08-5443-9930 หรือ pattama_cns@hot mail.com หรือดูใน http://www.gelatocarino.com.
สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน
ที่มา เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th/
ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน ส่งผลให้การทำกิจการ-การทำอาชีพขายไอศกรีม ได้รับการตอบรับดี และมีความก้าวหน้าอย่างมาก รวมถึงมีความแปลกใหม่ให้ได้ลิ้มลองอยู่เสมอ ซึ่งทีม “ช่องทางทำกิน” ก็เคยนำเสนอไปบ้างแล้ว และวันนี้ก็มีข้อมูล “ไอศกรีมโฮมเมด” มานำเสนออีกครั้ง...
ธุรกิจไอศกรีมในไทย มีทั้งแบบเดิม ๆ รวมไปจนถึงการขยายช่องทางมาจากโรงงาน ไอศกรีมของบริษัทต่างชาติยักษ์ใหญ่ด้วยการขายแฟรน ไชส์ไอศกรีม รวมทั้งยังมี “ไอศ กรีมโฮมเมด” ในรูปแบบ และยี่ห้อต่าง ๆ และก็มีไอศกรีมที่สร้างสรรค์ขึ้นเองโดยคนไทย ด้วยรสชาติที่ถูกปากคนไทย อย่างเรา ๆ ประกอบกับยุคนี้ยังมีเครื่องผลิตไอศกรีมจำหน่ายอย่างแพร่หลาย ทำให้การทำไอศกรีมนั้นง่ายขึ้นกว่าในอดีต
แม้มองโดยทั่วไปจะดูเหมือนว่า กิจการไอศกรีมน่าจะถึงจุดอิ่มตัวแล้ว แต่ธุรกิจนี้ยังมีช่องว่าง ยังพอมีทางให้เดินได้อีก และวันนี้คอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” ขอนำเสนอธุรกิจไอศกรีมโฮมเมดเล็ก ๆ แต่น่าสนใจรายหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นแนวทางสำหรับผู้สนใจจะทำธุรกิจไอศกรีมโฮมเมดได้
ปัทมา เอี่ยมวิจารณ์ เป็นเจ้าของธุรกิจไอศกรีมโฮมเมด แบรนด์ “เจลาโต้ คาริโน่” เจ้าตัวบอกว่า เพิ่งจะมาจับธุรกิจนี้ได้ไม่นาน โดยมีที่มาที่ไปคือ ส่วนตัวมีความชอบ สนใจในเรื่องสุขภาพ และมองว่าเมืองไทยเป็นเมืองร้อน ไอศกรีมน่าจะขายได้ และไอศกรีมไขมันต่ำก็กำลังเป็นที่นิยม จึงไปเรียนทำและขอคำปรึกษาจากคนรู้จักกัน จากนั้นได้พยายามปรับปรุงสูตรจนเป็นที่น่าพอใจ
“ที่มาของชื่อแบรนด์คือ จีลาโต้ มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน จี คือ จีน และจีลาโต้ คือคนอิตาลีนำมาปรับปรุง ซึ่งเขาให้เกียรติจีน ก็เลยเรียกว่า จีลาโต้ หรือเจลาโต้ เป็นชื่อสามัญทั่วไปที่ทุกคนมีสิทธิใช้ ส่วนคำว่าคาริโน่ เป็นภาษาอิตาลี แปลเป็นไทยหมายถึง ความน่ารัก อ่อนหวาน” ปัทมาอธิบาย
ไอศกรีมที่ผลิต มีมากกว่า 50 รสชาติ ถ้ารวมผลไม้ตามฤดูกาลก็จะมีมากถึง 60-70 รสชาติ ตัวอย่างรสชาติที่ได้รับความนิยมมาก จะเป็นจำพวก โยเกิร์ตบลูเบอร์รี่ โยเกิร์ตส้ม ทีรามิสุ และ รัมเรซิ่น หรือ ช็อกโกแลตชิพ หากจะเพิ่มรสชาติความอร่อย และเรียกลูกค้าให้ได้มากขึ้น จะต้องขายคู่กับ “วาฟเฟิลโคน” ซึ่งทางร้านนี้ได้ผลิตขึ้นสด ๆ สำหรับลูกค้าที่ชอบการทานไอศกรีมแบบโคน
ปัทมาเล่าต่อไปว่า การลงทุนในธุรกิจไอศกรีมโฮมเมดนี้ เบื้องต้นจะต้องใช้เงินลงทุน 100,000-150,000 บาท ซึ่งเป็นค่าอุปกรณ์ อาทิ เครื่องทำไอศกรีม ตู้แช่ไอศกรีม และตู้เย็น (สำหรับขาย) ยังไม่ได้รวมค่าการตลาด (ถ้ามี) ส่วนการลงทุนในเนื้อไอศกรีมนั้น ก็จะเป็นอีกส่วนหนึ่ง
ยกตัวอย่างการทำไอศกรีมตระกูลนม อาทิ ไอศกรีมรสวานิลลา ปัทมาบอกว่า จะต้องมีส่วนประกอบ คือ หัวเชื้อวานิลลา 280 กรัม, นมพร่องมันเนยไขมันต่ำ 1 กก. และน้ำอุ่น 2,500 ซีซี โดยจะต้องนำน้ำอุ่นผสมกับหัวเชื้อก่อน ตามด้วยนม แล้วนำลงไปปั่นรวมกัน ซึ่งรอบ ๆ เครื่องปั่นไอศกรีมนั้นจะต้องหล่อด้วยน้ำแข็งโรยเกลือ เพื่อกันไม่ให้น้ำแข็งละลาย ซึ่งใช้เวลาปั่นประมาณ 20 นาที
ส่วน ไอศกรีมตระกูลผลไม้ นั้น จะใช้หัวเชื้อที่เป็นน้ำผลไม้ 280 กรัม ผสมกับน้ำอุ่น 2,500 ซีซี ผสม กับน้ำเชื่อม 40 กรัม แล้วนำลงปั่น ใช้เวลาปั่น 17 นาที จากนั้นตักใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ และนำเข้าตู้แช่ ซึ่งมีอุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส
ในปริมาณดังที่กล่าวมา จะตักขายไอศกรีมได้มากกว่า 50 ลูก ขึ้นไป ซึ่งราคาขายนั้น จะขายได้ ในราคา 15-20 บาท ต่อลูกขึ้นไป แล้วแต่ต้นทุน-ทำเล
“ยอมรับว่าการแข่งขันในธุรกิจนี้รุนแรงเหมือนกัน ความเป็นอิตาลีส่วนมากก็จะทำให้แพงไว้ก่อน ดูหรูไว้ก่อน แต่ที่ร้านเน้นที่รสชาติ คุณ ภาพ และจำหน่ายในราคาสมเหตุสมผล ส่วนการทำตลาด ในช่วงแรกจะใช้วิธีออกบูธไปยังพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อต้องการทราบการตอบรับของลูกค้าแต่ละพื้นที่”
ปัจจุบันปัทมาเปิดร้านขายอยู่ด้านข้างมหาวิทยาลัยรังสิต (ด้านเมืองเอก) สนใจธุรกิจไอศกรีมโฮมเมดของ ปัทมา เอี่ยมวิจารณ์ ติดต่อได้ที่ โทร. 0-2533-0756 0-2533-0756 และ 08-5443-9930 08-5443-9930 หรือ pattama_cns@hot mail.com หรือดูใน http://www.gelatocarino.com.
สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน
ที่มา เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th/
'ยาหม่องแฟนซี' แต้มสีสันขายดีสุดๆๆ
ยาหม่อง สินค้าต่อยอด 'งานปั้นดิน'
การปั้นของจิ๋วจากดินเป็นงานศิลปะอีกอย่างหนึ่งที่สามารถทำเป็นอาชีพได้ และงานปั้นของจิ๋วนั้นก็สามารถต่อยอดสร้างสรรค์เป็นสินค้าได้หลากหลาย เป็นการเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับงานได้เป็นอย่างดี อย่าง “ยาหม่องแฟนซี” ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอในวันนี้ ก็เป็นการต่อยอดการปั้นดินรูปแบบหนึ่ง...
ณภัสสรณ์ ทวีภพรไพศาล เจ้าของร้าน “ภา-ภัส อาร์ต แอนด์ โมเดล” ทำงานด้านศิลปะทั้งวาดภาพและการปั้นของจิ๋วมานาน เจ้าตัวเล่าว่า ชื่นชอบการวาดภาพมาตั้งแต่เด็ก สมัยเรียนก็วาดภาพส่งประกวดตลอด ตอนหลังก็ทำงานด้านศิลปะวาดภาพมาเรื่อย จากนั้นก็เริ่มมองหางานศิลปะที่แปลกไปจากการวาดภาพ
ในที่สุดก็มาสนใจงานปั้นโมเดลของจิ๋ว
“ตอนนั้นเริ่มจากการนำขนมปังผสมกับแป้ง ปั้นเป็นรูปผัก ผลไม้ และนำไปทำเป็นชิ้นงานเล็ก ๆ พวก กิ๊บติดผม ตุ้มหู แล้วก็ไปหาตลาดขายส่งที่สำเพ็ง ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี”
ณภัสสรณ์เล่าต่อว่า ทำงานนี้อยู่ระยะหนึ่งก็เริ่มเห็นว่าการใช้ขนมปังผสมแป้งเป็นวัตถุดิบนั้น มีพวกแมลงชอบมากัดแทะกิน จึงต้องมองหาวัตถุดิบชนิดอื่นแทน โดยเป็นการคิดสูตรผสมดินสำหรับการปั้นขึ้นมาเอง ซึ่งกว่าจะได้สูตรที่ลงตัวก็ใช้เวลาลองผิดลองถูกอยู่นานทีเดียว
นอกจากนี้ หลังจากทำงานปั้นได้ระยะหนึ่งก็เริ่มมีแนวคิดที่จะทำงานปั้นให้แปลกใหม่ แตกต่างไปจากงานปั้นของจิ๋วทั่วไป เพื่อให้งานปั้นของจิ๋วมีความหลากหลายมากขึ้น และยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับชิ้นงานด้วย
การสร้างความแตกต่างให้กับงานที่ทำของณภัสสรณ์ก็คือ การนำงานปั้นจิ๋วผสมผสานงานด้านศิลปะโดยทำให้เป็นเรื่องราว เป็นซีรีส์ สร้างจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ โดยเลียนแบบความเป็นอยู่วิถีชาวบ้านสมัยโบราณ และเรื่องราววิถีชีวิตและวัฒนธรรมประเพณีของคนไทยแต่ละยุคสมัย โดยการย่อส่วนให้คล้ายของจริงมากที่สุด
ไม่เท่านั้น ยังมีการต่อยอดงานปั้นนำไปประดิษฐ์ตกแต่งเป็นงานอื่น ๆ อีกมากมาย อาทิ โคมไฟ กรอบรูป นาฬิกา หรือจะปั้นเป็นรูปต่าง ๆ ไว้สำหรับตั้งโชว์ก็ได้
“ศิลปะงานปั้นของจิ๋วนั้นสามารถนำไปต่อยอดทำเป็นสินค้าอื่น ๆ ได้อีกหลากหลาย ขึ้นอยู่กับว่าคนที่ทำมีความคิดสร้างสรรค์แค่ไหน ถ้าเรามีไอเดีย เราก็สามารถที่จะเล่นสนุกกับงานปั้นจิ๋วตัวนี้ได้มากมาย”
ณภัสสรณ์บอกอีกว่า สำหรับคนที่ไม่มีความรู้เรื่องการปั้นมาก่อนเลย ก็สามารถเรียนรู้การปั้นเบื้องต้นได้ในเวลาแค่ 1 วัน สามารถ ปั้นเป็นรูปผัก ผลไม้ หรือรูปสัตว์ได้ แต่ที่สำคัญคือคนที่จะทำอาชีพนี้จะต้องมีใจรัก มีความคิดสร้างสรรค์ เพราะจะต้องมีการพัฒนาสินค้าไปเรื่อย ๆ ไม่อยู่นิ่ง เพื่อเป็นตัวเลือกใหม่ ๆ ให้ลูกค้า
สำหรับการทำ “ยาหม่องแฟนซี” แล้วมีการใช้เทคนิคการปั้นเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ ใส่ลงบนฝาขวดด้วย ซึ่งเป็นอีกรูปแบบงานต่อยอด นี่ก็สามารถเรียนได้ในเวลาแค่ 1 วัน และก็สามารถทำเป็นอาชีพได้
วัสดุอุปกรณ์ในการทำก็มี ยาหม่องที่บรรจุขวด, ดินสำหรับใช้ปั้น, กาวยู้ฮู, กาวตราช้าง, เส้นลวด, คีม, แล็กเกอร์ เป็นต้น โดยยาหม่องบรรจุขวดใช้ขนาด 20 กรัม และ 50 กรัม เป็นยาหม่องกลิ่นสมุนไพรไทย มีอยู่ประมาณ 15 กลิ่น ส่วนดินที่ใช้ปั้นนั้นจะเป็นสูตรที่คิดขึ้นมา จะเป็นดินที่ผสมเป็นสีต่าง ๆ ไว้แล้ว โดยสีที่ผสมนั้นจะเป็นสีน้ำมัน ก้อนหนึ่งก็ตกประมาณ 120 บาท สามารถปั้นได้หลายสิบชิ้น ซึ่งนอกจากชิ้นงานสำเร็จรูปแล้ว ทางณภัสสรณ์ยังมีการจำหน่ายวัสดุทั้ง 2 อย่างนี้ด้วย
ขั้นตอนการทำยาหม่องแฟนซีบวกงานปั้นดินจิ๋ว เริ่มจากสเกตช์แบบที่ต้องการจะทำขึ้นมาก่อน เมื่อได้แบบแล้วก็เริ่มทำการปั้น โดยนำดินที่ใช้สำหรับปั้นสีตามที่ต้องการมาปั้นให้เป็นก้อนกลม ๆ พอประมาณ จากนั้นนำขวดยาหม่องมาทากาวยู้ฮูลงบนฝาขวด นำดินที่ปั้นเป็นก้อนกลมติดลงบนฝาขวดปั้นไล่ให้ดินหุ้มฝาขวด จากนั้นปั้นให้เป็นรูปโครงหน้าหรือหัวสัตว์ต่าง ๆ ที่ได้ออกแบบไว้ และตกแต่งชิ้นส่วน
เริ่มจากส่วนหู โดยปั้นหูแล้วนำมาต่อที่ส่วนหัวโดยใช้เส้นลวดเสียบติด ใช้กาวตราช้างติดให้แน่นอีกที จากนั้นก็ตกแต่งลูกตา จมูก ปาก เรียบร้อยก็ตั้งพักไว้ให้ดินแห้ง ใช้แล็กเกอร์ทาเคลือบ เท่านี้ก็เรียบร้อย
ยาหม่องแฟนซีของร้านนี้ ราคาก็แตกต่างกันไปตามขนาดและงานปั้น ถ้าเป็นรูปสัตว์ราคาอยู่ที่ 79 บาท ถ้าปั้นเป็นรูปหน้าเหมือนราคาอยู่ที่ 450 บาท หรืออาจมีราคาสูงถึง 1,000 บาท ขึ้นอยู่กับความยากง่าย และรายละเอียดของงาน นอกจากนั้นที่ร้านนี้ยังมีสินค้ารูปแบบอื่น ๆ อีกหลากหลาย ซึ่งในส่วนของทุนวัสดุนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 40% จากราคาขาย ขณะที่ทุนเบื้องต้นถ้าทำ เล็ก ๆ ประมาณไม่เกิน 2,000 บาทก็ทำได้แล้ว
ใครสนใจ “ยาหม่องแฟนซี” หรือสินค้า อื่น ๆ หรืออยากเรียนรู้เทคนิคการปั้นดินจิ๋วจากณภัสสรณ์ ร้านนี้ตั้งอยู่ที่ 2044 ศูนย์การค้าแฮปปี้แลนด์เซ็นเตอร์ ชั้น 2 ถนนลาดพร้าว เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ โทร. 08-1924-0033 08-1924-0033 ซึ่งการทำอาชีพนี้ยังสามารถทำรายได้จากการรับออร์เดอร์สั่งทำชิ้นงาน ต่าง ๆ ด้วย.
บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน
ข้อมูลจาก เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th/
การปั้นของจิ๋วจากดินเป็นงานศิลปะอีกอย่างหนึ่งที่สามารถทำเป็นอาชีพได้ และงานปั้นของจิ๋วนั้นก็สามารถต่อยอดสร้างสรรค์เป็นสินค้าได้หลากหลาย เป็นการเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับงานได้เป็นอย่างดี อย่าง “ยาหม่องแฟนซี” ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอในวันนี้ ก็เป็นการต่อยอดการปั้นดินรูปแบบหนึ่ง...
ณภัสสรณ์ ทวีภพรไพศาล เจ้าของร้าน “ภา-ภัส อาร์ต แอนด์ โมเดล” ทำงานด้านศิลปะทั้งวาดภาพและการปั้นของจิ๋วมานาน เจ้าตัวเล่าว่า ชื่นชอบการวาดภาพมาตั้งแต่เด็ก สมัยเรียนก็วาดภาพส่งประกวดตลอด ตอนหลังก็ทำงานด้านศิลปะวาดภาพมาเรื่อย จากนั้นก็เริ่มมองหางานศิลปะที่แปลกไปจากการวาดภาพ
ในที่สุดก็มาสนใจงานปั้นโมเดลของจิ๋ว
“ตอนนั้นเริ่มจากการนำขนมปังผสมกับแป้ง ปั้นเป็นรูปผัก ผลไม้ และนำไปทำเป็นชิ้นงานเล็ก ๆ พวก กิ๊บติดผม ตุ้มหู แล้วก็ไปหาตลาดขายส่งที่สำเพ็ง ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี”
ณภัสสรณ์เล่าต่อว่า ทำงานนี้อยู่ระยะหนึ่งก็เริ่มเห็นว่าการใช้ขนมปังผสมแป้งเป็นวัตถุดิบนั้น มีพวกแมลงชอบมากัดแทะกิน จึงต้องมองหาวัตถุดิบชนิดอื่นแทน โดยเป็นการคิดสูตรผสมดินสำหรับการปั้นขึ้นมาเอง ซึ่งกว่าจะได้สูตรที่ลงตัวก็ใช้เวลาลองผิดลองถูกอยู่นานทีเดียว
นอกจากนี้ หลังจากทำงานปั้นได้ระยะหนึ่งก็เริ่มมีแนวคิดที่จะทำงานปั้นให้แปลกใหม่ แตกต่างไปจากงานปั้นของจิ๋วทั่วไป เพื่อให้งานปั้นของจิ๋วมีความหลากหลายมากขึ้น และยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับชิ้นงานด้วย
การสร้างความแตกต่างให้กับงานที่ทำของณภัสสรณ์ก็คือ การนำงานปั้นจิ๋วผสมผสานงานด้านศิลปะโดยทำให้เป็นเรื่องราว เป็นซีรีส์ สร้างจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ โดยเลียนแบบความเป็นอยู่วิถีชาวบ้านสมัยโบราณ และเรื่องราววิถีชีวิตและวัฒนธรรมประเพณีของคนไทยแต่ละยุคสมัย โดยการย่อส่วนให้คล้ายของจริงมากที่สุด
ไม่เท่านั้น ยังมีการต่อยอดงานปั้นนำไปประดิษฐ์ตกแต่งเป็นงานอื่น ๆ อีกมากมาย อาทิ โคมไฟ กรอบรูป นาฬิกา หรือจะปั้นเป็นรูปต่าง ๆ ไว้สำหรับตั้งโชว์ก็ได้
“ศิลปะงานปั้นของจิ๋วนั้นสามารถนำไปต่อยอดทำเป็นสินค้าอื่น ๆ ได้อีกหลากหลาย ขึ้นอยู่กับว่าคนที่ทำมีความคิดสร้างสรรค์แค่ไหน ถ้าเรามีไอเดีย เราก็สามารถที่จะเล่นสนุกกับงานปั้นจิ๋วตัวนี้ได้มากมาย”
ณภัสสรณ์บอกอีกว่า สำหรับคนที่ไม่มีความรู้เรื่องการปั้นมาก่อนเลย ก็สามารถเรียนรู้การปั้นเบื้องต้นได้ในเวลาแค่ 1 วัน สามารถ ปั้นเป็นรูปผัก ผลไม้ หรือรูปสัตว์ได้ แต่ที่สำคัญคือคนที่จะทำอาชีพนี้จะต้องมีใจรัก มีความคิดสร้างสรรค์ เพราะจะต้องมีการพัฒนาสินค้าไปเรื่อย ๆ ไม่อยู่นิ่ง เพื่อเป็นตัวเลือกใหม่ ๆ ให้ลูกค้า
สำหรับการทำ “ยาหม่องแฟนซี” แล้วมีการใช้เทคนิคการปั้นเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ ใส่ลงบนฝาขวดด้วย ซึ่งเป็นอีกรูปแบบงานต่อยอด นี่ก็สามารถเรียนได้ในเวลาแค่ 1 วัน และก็สามารถทำเป็นอาชีพได้
วัสดุอุปกรณ์ในการทำก็มี ยาหม่องที่บรรจุขวด, ดินสำหรับใช้ปั้น, กาวยู้ฮู, กาวตราช้าง, เส้นลวด, คีม, แล็กเกอร์ เป็นต้น โดยยาหม่องบรรจุขวดใช้ขนาด 20 กรัม และ 50 กรัม เป็นยาหม่องกลิ่นสมุนไพรไทย มีอยู่ประมาณ 15 กลิ่น ส่วนดินที่ใช้ปั้นนั้นจะเป็นสูตรที่คิดขึ้นมา จะเป็นดินที่ผสมเป็นสีต่าง ๆ ไว้แล้ว โดยสีที่ผสมนั้นจะเป็นสีน้ำมัน ก้อนหนึ่งก็ตกประมาณ 120 บาท สามารถปั้นได้หลายสิบชิ้น ซึ่งนอกจากชิ้นงานสำเร็จรูปแล้ว ทางณภัสสรณ์ยังมีการจำหน่ายวัสดุทั้ง 2 อย่างนี้ด้วย
ขั้นตอนการทำยาหม่องแฟนซีบวกงานปั้นดินจิ๋ว เริ่มจากสเกตช์แบบที่ต้องการจะทำขึ้นมาก่อน เมื่อได้แบบแล้วก็เริ่มทำการปั้น โดยนำดินที่ใช้สำหรับปั้นสีตามที่ต้องการมาปั้นให้เป็นก้อนกลม ๆ พอประมาณ จากนั้นนำขวดยาหม่องมาทากาวยู้ฮูลงบนฝาขวด นำดินที่ปั้นเป็นก้อนกลมติดลงบนฝาขวดปั้นไล่ให้ดินหุ้มฝาขวด จากนั้นปั้นให้เป็นรูปโครงหน้าหรือหัวสัตว์ต่าง ๆ ที่ได้ออกแบบไว้ และตกแต่งชิ้นส่วน
เริ่มจากส่วนหู โดยปั้นหูแล้วนำมาต่อที่ส่วนหัวโดยใช้เส้นลวดเสียบติด ใช้กาวตราช้างติดให้แน่นอีกที จากนั้นก็ตกแต่งลูกตา จมูก ปาก เรียบร้อยก็ตั้งพักไว้ให้ดินแห้ง ใช้แล็กเกอร์ทาเคลือบ เท่านี้ก็เรียบร้อย
ยาหม่องแฟนซีของร้านนี้ ราคาก็แตกต่างกันไปตามขนาดและงานปั้น ถ้าเป็นรูปสัตว์ราคาอยู่ที่ 79 บาท ถ้าปั้นเป็นรูปหน้าเหมือนราคาอยู่ที่ 450 บาท หรืออาจมีราคาสูงถึง 1,000 บาท ขึ้นอยู่กับความยากง่าย และรายละเอียดของงาน นอกจากนั้นที่ร้านนี้ยังมีสินค้ารูปแบบอื่น ๆ อีกหลากหลาย ซึ่งในส่วนของทุนวัสดุนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 40% จากราคาขาย ขณะที่ทุนเบื้องต้นถ้าทำ เล็ก ๆ ประมาณไม่เกิน 2,000 บาทก็ทำได้แล้ว
ใครสนใจ “ยาหม่องแฟนซี” หรือสินค้า อื่น ๆ หรืออยากเรียนรู้เทคนิคการปั้นดินจิ๋วจากณภัสสรณ์ ร้านนี้ตั้งอยู่ที่ 2044 ศูนย์การค้าแฮปปี้แลนด์เซ็นเตอร์ ชั้น 2 ถนนลาดพร้าว เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ โทร. 08-1924-0033 08-1924-0033 ซึ่งการทำอาชีพนี้ยังสามารถทำรายได้จากการรับออร์เดอร์สั่งทำชิ้นงาน ต่าง ๆ ด้วย.
บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน
ข้อมูลจาก เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th/
‘เครื่องดื่มสมุนไพร’ สร้างรายได้
‘ผงสำเร็จรูป’ ยังขายได้
แนวคิดเรื่องการแปรรูปอาหารหรือถนอมอาหารนั้นมีหลายแบบหลายประเภท ซึ่งในยามหน้าร้อนแบบนี้คอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” มีหนึ่งแนวคิดมานำเสนอ เป็นเรื่องของการทำ “เครื่องดื่มสมุนไพรแบบผงสำเร็จรูป” ซึ่งก็เป็นอีกแนวคิดที่นำมาซึ่งการสร้างหรือต่อยอดอาชีพ ที่น่าพิจารณา...
ศักดิ์ชัย โชติชัชวาล ประธานกลุ่มอาชีพเครื่องสมุนไพร “โพธิ์ทอง” ย่าน จ.สมุทรปราการ เล่าว่า ทางกลุ่มผลิตเครื่องดื่มสมุนไพรมาตั้งแต่ปี 2540 เนื่องจากคุณพ่อเป็นซินแสซึ่งมีความรู้ความชำนาญเกี่ยวเรื่องยาจีน ซึ่งก่อนหน้านั้นตนไม่ได้ทำเครื่องดื่มสมุนไพรมาก่อน แต่ทำธุรกิจขายไอศกรีม และเพราะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจยุคฟองสบู่แตก การค้าขายเงียบเหงามาก จึงจำเป็นต้องหาอาชีพอื่นมาเสริม
“ด้วยความที่คุณพ่อมีตำราจีนอยู่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นยาหม้อแทบทั้งสิ้น อาทิ เกสรทั้ง 9, ฟ้าทลายโจร ซึ่งก็ได้ทดลองทำจากยาหม้อมาเป็นเครื่องดื่มผงแบบชงสำเร็จรูป ก็ขายได้ในระยะแรก ๆ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะว่าไม่ผ่านการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงเปลี่ยนรูปแบบสินค้าใหม่ ทำเครื่องดื่มสมุนไพรแบบทั่ว ๆ ไป อาทิ เก๊กฮวย ขิง มะตูม ดอกคำฝอย หล่อฮั้งก้วย เห็ดหลินจือ ซึ่งกว่าจะลงตัวในปัจจุบันนั้น ก็ลองผิดลองถูกมามาก กว่าจะประสบความสำเร็จได้ก็ใช้เวลาระยะหนึ่งเช่นกัน”
หลักการทำเครื่องดื่มชงสมุนไพรนั้น ศักดิ์ชัยเล่าว่า ไม่ยากเลย ซึ่งตนก็ทดลองทำทุกแบบทุกสไตล์แล้ว แต่การทำให้ได้คุณภาพและได้ราคาที่สามารถแข่งขันในท้องตลาดนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย คุณภาพเครื่องจักรสำคัญมาก หากใครที่มีความสามารถที่จะลงทุนได้ ก็ต้องลงทุน แต่ถ้าจะทำขายแบบพื้นฐาน ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป
ศักดิ์ชัยอธิบาย ว่า การทำเครื่องดื่มชงสมุนไพรสำเร็จรูปแบบผงนั้นถ้าไม่มีหรือไม่ใช้อุปกรณ์ซึ่งเป็นเครื่องจักรราคาสูง อุปกรณ์หลัก ๆ ได้แก่ หม้อต้มน้ำ, กระทะ, เตาแก๊ส ส่วนวิธีทำนั้น หากเป็น ขิงผง ต้องใช้ขิงปริมาณ 1.5 กก. ปั่นเอาน้ำ ไม่เอากาก จากนั้นผสมกับน้ำตาล สำหรับสัดส่วนปริมาณนั้น ก็ตามแต่สูตร
หากเป็นสูตรแบบชาวบ้าน ใช้น้ำขิง 1 กก. ต่อน้ำตาลทราย 2 กก. เคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งตกผลึกเป็นผง ซึ่งขิงผงที่ออกมานั้นได้เท่ากับจำนวนน้ำตาล เพราะน้ำตาลเป็นสารที่ตกผลึก ส่วนน้ำขิงนั้นจะถูกเคี่ยวผสมให้เข้ากับน้ำตาลจนงวดไป จากนั้นก็จะเข้ากระบวนการตากแดดให้แห้ง และเข้าตู้อบ แล้วใส่บรรจุภัณฑ์
เช่นเดียวกับ มะตูมผง, เก๊กฮวยผง, หล่อฮั้งก้วยผง ที่จะต้องต้มน้ำสมุนไพรแต่ละอย่างให้เรียบร้อยเสียก่อน ก่อนที่จะนำไปเคี่ยวกับน้ำตาลในกระทะให้แห้ง อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ต้องการจะผ่านขั้นตอนการเคี่ยวให้ตกผลึก รวมไปถึงขั้นตอนการตากแดด และเข้าตู้อบให้แห้ง จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ ซึ่งต้องใช้ความร้อนสูง ดูดน้ำสมุนไพร แล้วพ่นลงในถัง ซึ่งเมื่อเจอไอร้อนน้ำสมุนไพรจะร่วงเป็นผง ซึ่งพร้อมบรรจุได้เลย อุปกรณ์ดังกล่าวมีราคาสูง ซึ่งอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของกิจการ และกำลังในการลงทุนอุปกรณ์ว่ามีมากน้อยเพียงใด
ส่วนปริมาณในบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มสมุนไพรแบบผง คือ 15 กรัมต่อซอง บรรจุกล่อง กล่องละ15 ซอง ขายกล่องละ 65-100 บาท (ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบ) ส่วนกำไรต่อกล่องหลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว ประมาณ 7-10 บาทขึ้นไป
นอกจากเครื่องดื่มสมุนไพรผง กลุ่มนี้ยังทำ หมี่กรอบ 3 รส บรรจุใส่ถุงพลาสติกคล้ายขนมอบกรอบ ซึ่งศักดิ์ชัยอธิบายว่า ก็คือหมี่กรอบทั่ว ๆ ไป แต่ทำให้ทานง่าย สะดวกขึ้น โดยทางกลุ่มได้ออกแบบเครื่องหั่นหมี่ให้เป็นชิ้น ๆ เป็นแท่ง ๆ มีขนาดยาวพอคำ รวมไปถึงการปรับปรุงรสชาติ เช่น การใช้น้ำมะนาวแทนน้ำมะขามเปียก ใส่ไข่ไก่เพิ่มเติม ซึ่งการลงทุนในอุปกรณ์นี้ ประมาณ 100,000 บาท หรืออาจจะใช้ใช้วิธีหั่นมือก็ได้
“จุดเริ่มต้นตรงนี้เกิดมาจากการไปออกบูธขายในมหาวิทยาลัย ซึ่งมีแต่วัยรุ่นแทบทั้งสิ้น ส่วนเครื่องดื่มสมุนไพรผงนั้นไม่มีคนสนใจ ดังนั้นจึงเกิดแรงบันดาลใจว่าจะทำขนมซึ่งเป็นของว่างแบบไทย ๆ แต่ถูกใจวัยรุ่น ซึ่งหมี่กรอบนั้นมีสูตรอยู่แล้ว จึงนำมาปรับปรุงให้เป็นขนม ให้ทานง่าย”
สูตรหมี่กรอบนั้น หมี่กรอบ 3 รส ปริมาณ 100 กรัม ประกอบไปด้วย เส้นหมี่ 30% ไข่ไก่ 15% หอมหัวใหญ่ 13% น้ำมันปาล์ม 9% น้ำตาลทราย 9% ซอสพริก 8% น้ำมะนาว7% ขายในราคากล่องละ 35 บาท 3 กล่อง 100 บาท ซึ่งหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วจะได้กำไรประมาณ 15-20 บาท
สนใจ “เครื่องดื่มสมุนไพรแบบผงสำเร็จรูป” และหมี่กรอบ 3 รสรูปแบบใหม่ ของกลุ่มอาชีพเครื่องสมุนไพร ติดต่อศักดิ์ชัย โชติชัชวาล ประธานกลุ่ม ได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08-1816-9904 และ 0-2749-2249.
สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน
ขอบคุณที่มา หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
แนวคิดเรื่องการแปรรูปอาหารหรือถนอมอาหารนั้นมีหลายแบบหลายประเภท ซึ่งในยามหน้าร้อนแบบนี้คอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” มีหนึ่งแนวคิดมานำเสนอ เป็นเรื่องของการทำ “เครื่องดื่มสมุนไพรแบบผงสำเร็จรูป” ซึ่งก็เป็นอีกแนวคิดที่นำมาซึ่งการสร้างหรือต่อยอดอาชีพ ที่น่าพิจารณา...
ศักดิ์ชัย โชติชัชวาล ประธานกลุ่มอาชีพเครื่องสมุนไพร “โพธิ์ทอง” ย่าน จ.สมุทรปราการ เล่าว่า ทางกลุ่มผลิตเครื่องดื่มสมุนไพรมาตั้งแต่ปี 2540 เนื่องจากคุณพ่อเป็นซินแสซึ่งมีความรู้ความชำนาญเกี่ยวเรื่องยาจีน ซึ่งก่อนหน้านั้นตนไม่ได้ทำเครื่องดื่มสมุนไพรมาก่อน แต่ทำธุรกิจขายไอศกรีม และเพราะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจยุคฟองสบู่แตก การค้าขายเงียบเหงามาก จึงจำเป็นต้องหาอาชีพอื่นมาเสริม
“ด้วยความที่คุณพ่อมีตำราจีนอยู่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นยาหม้อแทบทั้งสิ้น อาทิ เกสรทั้ง 9, ฟ้าทลายโจร ซึ่งก็ได้ทดลองทำจากยาหม้อมาเป็นเครื่องดื่มผงแบบชงสำเร็จรูป ก็ขายได้ในระยะแรก ๆ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะว่าไม่ผ่านการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงเปลี่ยนรูปแบบสินค้าใหม่ ทำเครื่องดื่มสมุนไพรแบบทั่ว ๆ ไป อาทิ เก๊กฮวย ขิง มะตูม ดอกคำฝอย หล่อฮั้งก้วย เห็ดหลินจือ ซึ่งกว่าจะลงตัวในปัจจุบันนั้น ก็ลองผิดลองถูกมามาก กว่าจะประสบความสำเร็จได้ก็ใช้เวลาระยะหนึ่งเช่นกัน”
หลักการทำเครื่องดื่มชงสมุนไพรนั้น ศักดิ์ชัยเล่าว่า ไม่ยากเลย ซึ่งตนก็ทดลองทำทุกแบบทุกสไตล์แล้ว แต่การทำให้ได้คุณภาพและได้ราคาที่สามารถแข่งขันในท้องตลาดนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย คุณภาพเครื่องจักรสำคัญมาก หากใครที่มีความสามารถที่จะลงทุนได้ ก็ต้องลงทุน แต่ถ้าจะทำขายแบบพื้นฐาน ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป
ศักดิ์ชัยอธิบาย ว่า การทำเครื่องดื่มชงสมุนไพรสำเร็จรูปแบบผงนั้นถ้าไม่มีหรือไม่ใช้อุปกรณ์ซึ่งเป็นเครื่องจักรราคาสูง อุปกรณ์หลัก ๆ ได้แก่ หม้อต้มน้ำ, กระทะ, เตาแก๊ส ส่วนวิธีทำนั้น หากเป็น ขิงผง ต้องใช้ขิงปริมาณ 1.5 กก. ปั่นเอาน้ำ ไม่เอากาก จากนั้นผสมกับน้ำตาล สำหรับสัดส่วนปริมาณนั้น ก็ตามแต่สูตร
หากเป็นสูตรแบบชาวบ้าน ใช้น้ำขิง 1 กก. ต่อน้ำตาลทราย 2 กก. เคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งตกผลึกเป็นผง ซึ่งขิงผงที่ออกมานั้นได้เท่ากับจำนวนน้ำตาล เพราะน้ำตาลเป็นสารที่ตกผลึก ส่วนน้ำขิงนั้นจะถูกเคี่ยวผสมให้เข้ากับน้ำตาลจนงวดไป จากนั้นก็จะเข้ากระบวนการตากแดดให้แห้ง และเข้าตู้อบ แล้วใส่บรรจุภัณฑ์
เช่นเดียวกับ มะตูมผง, เก๊กฮวยผง, หล่อฮั้งก้วยผง ที่จะต้องต้มน้ำสมุนไพรแต่ละอย่างให้เรียบร้อยเสียก่อน ก่อนที่จะนำไปเคี่ยวกับน้ำตาลในกระทะให้แห้ง อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ต้องการจะผ่านขั้นตอนการเคี่ยวให้ตกผลึก รวมไปถึงขั้นตอนการตากแดด และเข้าตู้อบให้แห้ง จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ ซึ่งต้องใช้ความร้อนสูง ดูดน้ำสมุนไพร แล้วพ่นลงในถัง ซึ่งเมื่อเจอไอร้อนน้ำสมุนไพรจะร่วงเป็นผง ซึ่งพร้อมบรรจุได้เลย อุปกรณ์ดังกล่าวมีราคาสูง ซึ่งอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของกิจการ และกำลังในการลงทุนอุปกรณ์ว่ามีมากน้อยเพียงใด
ส่วนปริมาณในบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มสมุนไพรแบบผง คือ 15 กรัมต่อซอง บรรจุกล่อง กล่องละ15 ซอง ขายกล่องละ 65-100 บาท (ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบ) ส่วนกำไรต่อกล่องหลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว ประมาณ 7-10 บาทขึ้นไป
นอกจากเครื่องดื่มสมุนไพรผง กลุ่มนี้ยังทำ หมี่กรอบ 3 รส บรรจุใส่ถุงพลาสติกคล้ายขนมอบกรอบ ซึ่งศักดิ์ชัยอธิบายว่า ก็คือหมี่กรอบทั่ว ๆ ไป แต่ทำให้ทานง่าย สะดวกขึ้น โดยทางกลุ่มได้ออกแบบเครื่องหั่นหมี่ให้เป็นชิ้น ๆ เป็นแท่ง ๆ มีขนาดยาวพอคำ รวมไปถึงการปรับปรุงรสชาติ เช่น การใช้น้ำมะนาวแทนน้ำมะขามเปียก ใส่ไข่ไก่เพิ่มเติม ซึ่งการลงทุนในอุปกรณ์นี้ ประมาณ 100,000 บาท หรืออาจจะใช้ใช้วิธีหั่นมือก็ได้
“จุดเริ่มต้นตรงนี้เกิดมาจากการไปออกบูธขายในมหาวิทยาลัย ซึ่งมีแต่วัยรุ่นแทบทั้งสิ้น ส่วนเครื่องดื่มสมุนไพรผงนั้นไม่มีคนสนใจ ดังนั้นจึงเกิดแรงบันดาลใจว่าจะทำขนมซึ่งเป็นของว่างแบบไทย ๆ แต่ถูกใจวัยรุ่น ซึ่งหมี่กรอบนั้นมีสูตรอยู่แล้ว จึงนำมาปรับปรุงให้เป็นขนม ให้ทานง่าย”
สูตรหมี่กรอบนั้น หมี่กรอบ 3 รส ปริมาณ 100 กรัม ประกอบไปด้วย เส้นหมี่ 30% ไข่ไก่ 15% หอมหัวใหญ่ 13% น้ำมันปาล์ม 9% น้ำตาลทราย 9% ซอสพริก 8% น้ำมะนาว7% ขายในราคากล่องละ 35 บาท 3 กล่อง 100 บาท ซึ่งหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วจะได้กำไรประมาณ 15-20 บาท
สนใจ “เครื่องดื่มสมุนไพรแบบผงสำเร็จรูป” และหมี่กรอบ 3 รสรูปแบบใหม่ ของกลุ่มอาชีพเครื่องสมุนไพร ติดต่อศักดิ์ชัย โชติชัชวาล ประธานกลุ่ม ได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08-1816-9904 และ 0-2749-2249.
สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน
ขอบคุณที่มา หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
งานประดิษฐ์ กะลามะพร้าว
งานกะลามะพร้าวต่อยอดไอเดียได้..ไม่มีตัน
แม้งานประดิษฐ์จากวัสดุธรรมชาติอย่างเช่น “งานประดิษฐ์จากกะลามะพร้าว” จะมีมานานแล้ว แต่ก็มีคนต่อยอดพัฒนาจนเกิดเป็นสินค้าหลากหลายได้อย่างต่อเนื่อง ยิ่งถ้าคนทำรู้จักวิเคราะห์ตลาด ปรับรูปแบบ ตั้งราคาให้เหมาะสม ชิ้นงานก็จะยิ่งได้รับความสนใจ อย่างรายที่ “ช่องทางทำกิน เส้นทางประกอบอาชีพ” จะนำเสนอวันนี้...
“เดชา สนธินุช” เป็นเจ้าของงานจากกะลามะพร้าวหลากหลายไอเดีย เจ้าของผลงานเล่าว่า เดิมทำอาชีพเป็นช่างจิวเวลรี่นานกว่า 15 ปี ต่อมาเริ่มรู้สึกเบื่อ อิ่มตัว อยากจะทำจับธุรกิจเล็ก ๆ สักอย่าง โดยมองไป ที่งานประดิษฐ์ ของตกแต่ง เนื่องจากมีความชำนาญด้านงานช่าง-งานฝีมืออยู่แล้ว และก็สนใจชิ้นงานจากวัสดุ “กะลามะพร้าว” เพราะมองว่าเป็นวัสดุที่มีราคาถูก หาง่าย มีอยู่ทั่วไป จึงเริ่มทดลองทำมาตั้งแต่ ปี 2548
ระยะแรกผลงานของเขาจะเน้นไปที่ชิ้นงานขนาดใหญ่ เน้นความเป็นศิลปะไทย อาทิ งานรูปสัตว์ป่าหิมพานต์, พระพุทธรูป ต่อมาคิดว่าน่าจะทำงานที่มีขนาดเล็กลงมา และมีรูปแบบน่ารัก มีสไตล์การ์ตูนนิด ๆ ให้ดูน่ารัก เพื่อตามใจตลาดดูบ้าง อาทิ ตุ๊กตากบ, หนอน, ปลาทอง และงานโมบาย รวมถึงงาน โคมไฟ ทั้งแบบตั้งโต๊ะ และแบบแขวนห้อยเพดาน ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งที่ลดขนาดชิ้นงานก็คือ เพื่อลดระยะเวลาในการผลิตงานให้น้อยลง เนื่องจากงานชิ้นใหญ่บางชิ้นต้องใช้เวลาในการทำไม่น้อยกว่า 5 เดือน
“งานชิ้นใหญ่มีรายละเอียดซับซ้อน ต่อมาคิดว่าน่าจะเพิ่มสินค้าสไตล์อื่นดูบ้าง เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าให้กว้างขึ้น และลดขนาดชิ้นงานให้เล็กลงมา เพื่อที่จะสามารถขายงานได้มากชิ้นขึ้น จึงกลายเป็นรูปแบบในปัจจุบัน คือเปลี่ยนจากงานเน้นรายละเอียด มาเป็นงานตลาดดูบ้าง ก็ทำให้มีลูกค้ามากขึ้น โดยสินค้าจะขายดีมากในช่วงปลายปี หรือใกล้ปีใหม่ แต่โดยรวมก็สามารถขายได้ทั้งปี เพราะแหล่งที่ขายประจำอยู่ที่ตลาดบางน้ำผึ้ง พระประแดง ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว” เจ้าของผลงานกล่าว
รูปแบบของสินค้า เขาบอกว่าสามารถต่อยอดทำไปได้ เรื่อย ๆ ไม่มีตัน โดยปัจจุบันสินค้าที่ทำนั้นมีอยู่มากมายหลายสิบแบบ โดยที่ขายดีที่สุดจะเป็นงานประเภทตุ๊กตาตั้งโต๊ะ และ งานโมบายสำหรับแขวน โดยราคาสินค้าเริ่มตั้งแต่ชิ้นละ 120 บาท จนถึง 30,000 บาท ขึ้นกับขนาด ความยากง่าย และรายละเอียดของชิ้นงาน
ทุนเบื้องต้นสำหรับการทำงานประเภทนี้ ใช้เงินลงทุนครั้งแรกประมาณ 10,000 บาท โดยต้นทุนจะลดลงอีกหากผู้ทำมีอุปกรณ์บางชิ้นอยู่แล้ว ส่วนทุนวัสดุต่อชิ้นจะอยู่ที่ประมาณ 40% ของราคาที่ตั้งขาย
อุปกรณ์เครื่องมือที่จำเป็น มีสว่านไฟฟ้า, เลื่อยฉลุ, เลื่อยแท่น, เครื่องขัดเจีย, ปืนยิงกาวร้อน และอุปกรณ์สำหรับงานไม้ ส่วนวัสดุที่ต้องใช้หลัก ๆ ก็มี กะลามะพร้าว, ไม้สนนอก, กาวร้อน, กระดาษทราย
ขั้นตอนการทำ เริ่มที่เตรียมกะลามะพร้าว เริ่มจากนำมะพร้าวมาปอกเปลือก และเจาะเอาน้ำด้านในออกให้หมด จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 1 วันให้เนื้อด้านในล่อน จึงใช้มีดแคะออกมา การเลือกกะลาที่เหมาะจะนำมาใช้งานนั้น ให้เลือกใช้กะลาที่มีความหนาพอสมควร เลือกที่มีความโค้งไม่มาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรูปแบบงาน
เมื่อได้กะลาที่มีขนาดและรูปทรงตามต้องการแล้ว ลำดับต่อมาให้นำกะลามะพร้าวที่ได้มาทำการขัดผิวให้เรียบด้วยเครื่องขัดหรือเครื่องเจีย จากนั้นสำรวจและจัดการให้เรียบร้อยอีกทีด้วยกระดาษทราย เพื่อขจัดเศษเสี้ยน จากนั้นนำกะลามาผ่าซีกหรือตัดให้ได้ตามชิ้นส่วนของแบบที่เลือกไว้ โดยอาจจะตัดเป็นชิ้นส่วนไว้ทีเดียวพร้อมกัน แล้วจึงค่อยนำมาประกอบภายหลัง
เมื่อได้ส่วนประกอบแล้ว ก็ให้นำไม้สนนอกมาเหลาเพื่อทำเป็น “สลักยึด” ใช้แทนตะปู โดยอาจทำไว้ทีเดียวหลาย ๆ ขนาดเหมือนกับขั้นตอนการทำชิ้นส่วน จากนั้นเมื่อได้ส่วนประกอบและสลักยึดครบแล้วก็นำมาประกอบ ขึ้นรูปตามแบบที่ต้องการ เริ่มจากส่วนฐานและลำตัวก่อน โดยใช้กาวร้อนและไม้สนนอกที่เหลาเป็นสลักเป็นตัวยึด และเชื่อมในส่วนต่าง ๆ หากต้องการตกแต่งก็อาจใช้เศษกะลาที่เหลือตกแต่ง จากนั้นตั้งทิ้งไว้ให้กาวแห้งสนิท เมื่อแห้งสนิทดีแล้วก็ทำการลงแล็กเกอร์เคลือบผิว ปล่อยทิ้งให้แห้ง เป็นอันเสร็จขั้นตอน
ใครสนใจ “งานประดิษฐ์จากกะลามะพร้าว” ของเดชา ติดต่อได้ที่ เลขที่ 57 หมู่ 10 ต.บางยอ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ โทร.08-6076-1638 ส่วนใครที่สนใจอยากจะฝึกหัดทำ หรืออยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมก็สามารถสอบถามกับเจ้าของงานได้โดยตรง.
ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : รายงาน
แม้งานประดิษฐ์จากวัสดุธรรมชาติอย่างเช่น “งานประดิษฐ์จากกะลามะพร้าว” จะมีมานานแล้ว แต่ก็มีคนต่อยอดพัฒนาจนเกิดเป็นสินค้าหลากหลายได้อย่างต่อเนื่อง ยิ่งถ้าคนทำรู้จักวิเคราะห์ตลาด ปรับรูปแบบ ตั้งราคาให้เหมาะสม ชิ้นงานก็จะยิ่งได้รับความสนใจ อย่างรายที่ “ช่องทางทำกิน เส้นทางประกอบอาชีพ” จะนำเสนอวันนี้...
“เดชา สนธินุช” เป็นเจ้าของงานจากกะลามะพร้าวหลากหลายไอเดีย เจ้าของผลงานเล่าว่า เดิมทำอาชีพเป็นช่างจิวเวลรี่นานกว่า 15 ปี ต่อมาเริ่มรู้สึกเบื่อ อิ่มตัว อยากจะทำจับธุรกิจเล็ก ๆ สักอย่าง โดยมองไป ที่งานประดิษฐ์ ของตกแต่ง เนื่องจากมีความชำนาญด้านงานช่าง-งานฝีมืออยู่แล้ว และก็สนใจชิ้นงานจากวัสดุ “กะลามะพร้าว” เพราะมองว่าเป็นวัสดุที่มีราคาถูก หาง่าย มีอยู่ทั่วไป จึงเริ่มทดลองทำมาตั้งแต่ ปี 2548
ระยะแรกผลงานของเขาจะเน้นไปที่ชิ้นงานขนาดใหญ่ เน้นความเป็นศิลปะไทย อาทิ งานรูปสัตว์ป่าหิมพานต์, พระพุทธรูป ต่อมาคิดว่าน่าจะทำงานที่มีขนาดเล็กลงมา และมีรูปแบบน่ารัก มีสไตล์การ์ตูนนิด ๆ ให้ดูน่ารัก เพื่อตามใจตลาดดูบ้าง อาทิ ตุ๊กตากบ, หนอน, ปลาทอง และงานโมบาย รวมถึงงาน โคมไฟ ทั้งแบบตั้งโต๊ะ และแบบแขวนห้อยเพดาน ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งที่ลดขนาดชิ้นงานก็คือ เพื่อลดระยะเวลาในการผลิตงานให้น้อยลง เนื่องจากงานชิ้นใหญ่บางชิ้นต้องใช้เวลาในการทำไม่น้อยกว่า 5 เดือน
“งานชิ้นใหญ่มีรายละเอียดซับซ้อน ต่อมาคิดว่าน่าจะเพิ่มสินค้าสไตล์อื่นดูบ้าง เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าให้กว้างขึ้น และลดขนาดชิ้นงานให้เล็กลงมา เพื่อที่จะสามารถขายงานได้มากชิ้นขึ้น จึงกลายเป็นรูปแบบในปัจจุบัน คือเปลี่ยนจากงานเน้นรายละเอียด มาเป็นงานตลาดดูบ้าง ก็ทำให้มีลูกค้ามากขึ้น โดยสินค้าจะขายดีมากในช่วงปลายปี หรือใกล้ปีใหม่ แต่โดยรวมก็สามารถขายได้ทั้งปี เพราะแหล่งที่ขายประจำอยู่ที่ตลาดบางน้ำผึ้ง พระประแดง ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว” เจ้าของผลงานกล่าว
รูปแบบของสินค้า เขาบอกว่าสามารถต่อยอดทำไปได้ เรื่อย ๆ ไม่มีตัน โดยปัจจุบันสินค้าที่ทำนั้นมีอยู่มากมายหลายสิบแบบ โดยที่ขายดีที่สุดจะเป็นงานประเภทตุ๊กตาตั้งโต๊ะ และ งานโมบายสำหรับแขวน โดยราคาสินค้าเริ่มตั้งแต่ชิ้นละ 120 บาท จนถึง 30,000 บาท ขึ้นกับขนาด ความยากง่าย และรายละเอียดของชิ้นงาน
ทุนเบื้องต้นสำหรับการทำงานประเภทนี้ ใช้เงินลงทุนครั้งแรกประมาณ 10,000 บาท โดยต้นทุนจะลดลงอีกหากผู้ทำมีอุปกรณ์บางชิ้นอยู่แล้ว ส่วนทุนวัสดุต่อชิ้นจะอยู่ที่ประมาณ 40% ของราคาที่ตั้งขาย
อุปกรณ์เครื่องมือที่จำเป็น มีสว่านไฟฟ้า, เลื่อยฉลุ, เลื่อยแท่น, เครื่องขัดเจีย, ปืนยิงกาวร้อน และอุปกรณ์สำหรับงานไม้ ส่วนวัสดุที่ต้องใช้หลัก ๆ ก็มี กะลามะพร้าว, ไม้สนนอก, กาวร้อน, กระดาษทราย
ขั้นตอนการทำ เริ่มที่เตรียมกะลามะพร้าว เริ่มจากนำมะพร้าวมาปอกเปลือก และเจาะเอาน้ำด้านในออกให้หมด จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 1 วันให้เนื้อด้านในล่อน จึงใช้มีดแคะออกมา การเลือกกะลาที่เหมาะจะนำมาใช้งานนั้น ให้เลือกใช้กะลาที่มีความหนาพอสมควร เลือกที่มีความโค้งไม่มาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรูปแบบงาน
เมื่อได้กะลาที่มีขนาดและรูปทรงตามต้องการแล้ว ลำดับต่อมาให้นำกะลามะพร้าวที่ได้มาทำการขัดผิวให้เรียบด้วยเครื่องขัดหรือเครื่องเจีย จากนั้นสำรวจและจัดการให้เรียบร้อยอีกทีด้วยกระดาษทราย เพื่อขจัดเศษเสี้ยน จากนั้นนำกะลามาผ่าซีกหรือตัดให้ได้ตามชิ้นส่วนของแบบที่เลือกไว้ โดยอาจจะตัดเป็นชิ้นส่วนไว้ทีเดียวพร้อมกัน แล้วจึงค่อยนำมาประกอบภายหลัง
เมื่อได้ส่วนประกอบแล้ว ก็ให้นำไม้สนนอกมาเหลาเพื่อทำเป็น “สลักยึด” ใช้แทนตะปู โดยอาจทำไว้ทีเดียวหลาย ๆ ขนาดเหมือนกับขั้นตอนการทำชิ้นส่วน จากนั้นเมื่อได้ส่วนประกอบและสลักยึดครบแล้วก็นำมาประกอบ ขึ้นรูปตามแบบที่ต้องการ เริ่มจากส่วนฐานและลำตัวก่อน โดยใช้กาวร้อนและไม้สนนอกที่เหลาเป็นสลักเป็นตัวยึด และเชื่อมในส่วนต่าง ๆ หากต้องการตกแต่งก็อาจใช้เศษกะลาที่เหลือตกแต่ง จากนั้นตั้งทิ้งไว้ให้กาวแห้งสนิท เมื่อแห้งสนิทดีแล้วก็ทำการลงแล็กเกอร์เคลือบผิว ปล่อยทิ้งให้แห้ง เป็นอันเสร็จขั้นตอน
ใครสนใจ “งานประดิษฐ์จากกะลามะพร้าว” ของเดชา ติดต่อได้ที่ เลขที่ 57 หมู่ 10 ต.บางยอ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ โทร.08-6076-1638 ส่วนใครที่สนใจอยากจะฝึกหัดทำ หรืออยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมก็สามารถสอบถามกับเจ้าของงานได้โดยตรง.
ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : รายงาน
หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์
‘หน้ากากบีบีกัน’ จับกระแสรวยเป็นล้าน
อาชีพผลิตสินค้างานประดิษฐ์นอกจากจะต้องรู้จักดัดแปลง-พลิกแพลงแล้ว การมองหาตลาด-เลือกกลุ่มลูกค้าก็เป็นเรื่องสำคัญ อย่างเช่นธุรกิจผลิต “หน้ากาก” สำหรับใส่เล่นกีฬายิงปืน “บีบีกัน” ที่ว่ากันว่ากำลังมาแรงในขณะนี้ ก็เป็นหนึ่งในกรณีศึกษาน่าสนใจ ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลมานำเสนอ..อาชีพเสริม
ธรรมรงค์ อินทะพันธุ์ เจ้าของงานเล่าว่า ตนเองเพิ่งเริ่มเล่นกีฬายิงปืนบีบีกัน ซึ่งกฎระเบียบของทุกสนามจะคล้ายกันคือ ผู้เล่นต้องสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันใบหน้าและดวงตาขณะลงเล่น ซึ่งหน้ากากส่วนใหญ่ที่ผู้เล่นใส่ก็มักจะเป็นหน้ากากพลาสติกที่เรียกกันว่า หน้ากากสก็อต หน้ากากลิง รวมถึงแว่นตา จึงคิดว่าน่าจะลองนำงานหน้ากากจำลองซึ่งที่บ้านทำอยู่ และส่วนใหญ่มักขายเป็นสินค้าของตกแต่ง เช่น หน้ากากตุ๊กตาญี่ปุ่น, หน้ากากรูปปิศาจ มาพัฒนาได้ เพื่อฉีกรูปแบบหน้ากากแบบเดิม ๆ โดยใช้ชื่อสินค้าของตนเองว่า “มาสค์โม”
เจ้าของงานไอเดียเล่าต่อไปอีกว่า แรก ๆ เป็นการทำขึ้นเพื่อทดลองใช้งานใส่เองในกลุ่มเพื่อน ๆ ต่อมาเริ่มมีคนสนใจและสอบถามว่าซื้อได้ที่ไหน พอทราบว่าเป็นของผลิตเองจึงทำให้มีการสั่งจอง โดยเริ่ม ทำขายจริงจังสักประมาณ 3-4 เดือนที่ผ่านมา โดยขายผ่านเว็บไซต์ www.siambbgun.com และจัดส่งสินค้าทางพัสดุไปรษณีย์ ซึ่งไม่ต้องมีหน้าร้าน และเน้นผลิตงานตามคำสั่งซื้อของลูกค้าเป็นหลัก
รูปแบบของหน้ากากบีบีกันที่มีจำหน่ายในปัจจุบัน มี 4 แบบ คือ หน้ากากคาบูกิ, หน้ากากกะโหลก, หน้ากากฮีท, หน้ากากวีฟอร์เด็ทต้า โดยแต่ละแบบจะแบ่งเป็นชนิดเต็มหน้า กับแบบครึ่งหน้า ราคาอยู่ที่ชิ้นละ 599 บาท จนถึง 999 บาท โดยหน้ากากแบบฮีทและหน้ากากคาบูกิจะค่อนข้างได้รับความนิยมมากในขณะนี้
“มีการดีไซน์ให้เหมาะกับรูปแบบการเล่นของกีฬาบีบีกัน เช่น ตรงบริเวณตาจะเจาะรูให้กว้าง และใส่ตะแกรงเหล็กป้องกันลูกกระสุนพลาสติกของปืน” ธรรมรงค์ เจ้าของงานหน้ากากประดิษฐ์กล่าว
อีกจุดเด่นของงาน ธรรมรงค์บอกว่า จะเน้นที่ความแฟนซี คือลูกค้าส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มวัยรุ่นที่ชอบสีสันและความแปลกใหม่เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม จุดสำคัญของงานชิ้นนี้ นอกจากความแฟนซีแล้ว ในฐานะนักเล่นบีบีกันคนหนึ่งด้วยเขาบอกว่า “ความปลอดภัย” “ความคงทน” ก็เป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้
“ตัวหน้ากากจะ มีการเสริมใยแก้วลงไประหว่างชั้นของเรซิ่นและไฟเบอร์กลาส เพื่อให้ทนทานแข็งแรง ไม่แตกหักหรือเป็นรูง่าย ๆ สีที่ใช้ก็คุณภาพเดียวกันกับสีพ่นรถยนต์ จะมันวาว ลดแรงปะทะของกระสุนบีบีกัน”
ทุนเบื้องต้นสำหรับทำหน้ากากขาย ใช้ประมาณ 5,000 บาท ก็ทำได้ ส่วนใหญ่เป็นค่าน้ำยาและอุปกรณ์ที่จำเป็น ถ้าใครมีอุปกรณ์บางชิ้นอยู่แล้ว ต้นทุนก็ลดลงไป ส่วนทุนวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ 60% จากราคาขาย
วัตถุดิบนั้นก็ประกอบด้วย น้ำยาเรซิ่น, น้ำยาไฟเบอร์กลาส, ใยแก้ว, ตะแกรงเหล็ก, สายคาด, สีสเปรย์, สีอะคริลิก (ใช้เพนท์ลวดลายหน้ากาก), อุปกรณ์สำหรับตกแต่งตามต้องการ และเชลแล็กเคลือบผิว
ขณะที่อุปกรณ์ที่จำเป็นก็มี เครื่องเจียผิว, เครื่องขัด, สว่านไฟฟ้า
ขั้นตอนการทำ เริ่มจากออกแบบหน้ากากที่ต้องการ จากนั้นทำการขึ้นแม่พิมพ์ของตัวพิมพ์จากดินสำหรับปั้น เมื่อได้แม่พิมพ์แล้วให้นำปูนปลาสเตอร์มาทาบริเวณด้านในของแม่พิมพ์ให้ทั่วจนได้ความหนาที่ต้องการ จากนั้นทิ้งไว้ให้แห้ง จึงค่อย ๆ แกะออกจากแม่พิมพ์ ก็จะได้ตัวพิมพ์ สำหรับขึ้นเรซิ่นไฟเบอร์กลาส
เมื่อได้ตัวพิมพ์หน้ากากแล้ว ให้นำน้ำยาเรซิ่นไฟเบอร์กลาสทาให้ทั่วบริเวณด้านในของตัวพิมพ์ โดยเมื่อทาเสร็จชั้นหนึ่งก็ให้นำใยแก้วที่เตรียมไว้แปะลงไป จากนั้นจึงทาเรซิ่นทับอีกชั้นหนึ่ง โดยทำอย่างนี้ประมาณ 4-5 ครั้งจนครบ จากนั้นรอให้แห้ง ใช้เวลาประมาณครึ่งวันถึงหนึ่งวัน (ถ้าต้องการย่นเวลาก็อาจใช้น้ำยาเร่ง โดยถ้าใช้น้ำยาเร่งก็จะใช้เวลาเพียง 4-5 นาทีก็ใช้งานได้แล้ว) เมื่อเรซิ่นแห้งตัวก็แกะออกจากตัวพิมพ์
จากนั้นนำมาขัดผิวด้วยเครื่องเจียและเครื่องขัด เพื่อทำให้ผิวหน้ากากเรียบ
ขั้นตอนการลงสี ขั้นตอนนี้สีจะดี-ไม่ดีขึ้นอยู่กับว่าเรซิ่นที่หล่อเป็นหน้ากากแห้งสนิทหรือไม่ ถ้าเรซิ่นไม่แห้ง สีที่พ่นไปอาจเกิดการหลุดร่อนในภายหลังหรือขณะใช้งาน การลงสีให้ลงสีรองพื้นชั้นหนึ่งก่อน ทิ้งไว้ให้แห้ง จากนั้นจึงลงสีจริงอีกครั้งหนึ่ง เมื่อสีแห้งจึงนำไปตกแต่งลวดลายด้วยสีอะคริลิก ทิ้งไว้แห้ง จากนั้นจึงประกอบสายคาดหน้ากาก และตกแต่งตามต้องการ เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ
ใครต้องการติดต่อ ธรรมรงค์ อินทะพันธุ์ โทร. 08-0205-9417, 0-2982-8220 หรือที่อีเมล momojung321@hotmail.com ซึ่งใครที่สนใจอยากจะรู้รายละเอียดลึก ๆ เกี่ยวกับสินค้า “หน้ากากบีบีกัน” หรืออยากจะฝึกทำ ก็ลองสอบถามจากเจ้าของงานได้โดยตรง.
ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ รายงาน
ขอบคุณเดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th
ธรรมรงค์ อินทะพันธุ์ เจ้าของงานเล่าว่า ตนเองเพิ่งเริ่มเล่นกีฬายิงปืนบีบีกัน ซึ่งกฎระเบียบของทุกสนามจะคล้ายกันคือ ผู้เล่นต้องสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันใบหน้าและดวงตาขณะลงเล่น ซึ่งหน้ากากส่วนใหญ่ที่ผู้เล่นใส่ก็มักจะเป็นหน้ากากพลาสติกที่เรียกกันว่า หน้ากากสก็อต หน้ากากลิง รวมถึงแว่นตา จึงคิดว่าน่าจะลองนำงานหน้ากากจำลองซึ่งที่บ้านทำอยู่ และส่วนใหญ่มักขายเป็นสินค้าของตกแต่ง เช่น หน้ากากตุ๊กตาญี่ปุ่น, หน้ากากรูปปิศาจ มาพัฒนาได้ เพื่อฉีกรูปแบบหน้ากากแบบเดิม ๆ โดยใช้ชื่อสินค้าของตนเองว่า “มาสค์โม”
เจ้าของงานไอเดียเล่าต่อไปอีกว่า แรก ๆ เป็นการทำขึ้นเพื่อทดลองใช้งานใส่เองในกลุ่มเพื่อน ๆ ต่อมาเริ่มมีคนสนใจและสอบถามว่าซื้อได้ที่ไหน พอทราบว่าเป็นของผลิตเองจึงทำให้มีการสั่งจอง โดยเริ่ม ทำขายจริงจังสักประมาณ 3-4 เดือนที่ผ่านมา โดยขายผ่านเว็บไซต์ www.siambbgun.com และจัดส่งสินค้าทางพัสดุไปรษณีย์ ซึ่งไม่ต้องมีหน้าร้าน และเน้นผลิตงานตามคำสั่งซื้อของลูกค้าเป็นหลัก
รูปแบบของหน้ากากบีบีกันที่มีจำหน่ายในปัจจุบัน มี 4 แบบ คือ หน้ากากคาบูกิ, หน้ากากกะโหลก, หน้ากากฮีท, หน้ากากวีฟอร์เด็ทต้า โดยแต่ละแบบจะแบ่งเป็นชนิดเต็มหน้า กับแบบครึ่งหน้า ราคาอยู่ที่ชิ้นละ 599 บาท จนถึง 999 บาท โดยหน้ากากแบบฮีทและหน้ากากคาบูกิจะค่อนข้างได้รับความนิยมมากในขณะนี้
“มีการดีไซน์ให้เหมาะกับรูปแบบการเล่นของกีฬาบีบีกัน เช่น ตรงบริเวณตาจะเจาะรูให้กว้าง และใส่ตะแกรงเหล็กป้องกันลูกกระสุนพลาสติกของปืน” ธรรมรงค์ เจ้าของงานหน้ากากประดิษฐ์กล่าว
อีกจุดเด่นของงาน ธรรมรงค์บอกว่า จะเน้นที่ความแฟนซี คือลูกค้าส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มวัยรุ่นที่ชอบสีสันและความแปลกใหม่เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม จุดสำคัญของงานชิ้นนี้ นอกจากความแฟนซีแล้ว ในฐานะนักเล่นบีบีกันคนหนึ่งด้วยเขาบอกว่า “ความปลอดภัย” “ความคงทน” ก็เป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้
“ตัวหน้ากากจะ มีการเสริมใยแก้วลงไประหว่างชั้นของเรซิ่นและไฟเบอร์กลาส เพื่อให้ทนทานแข็งแรง ไม่แตกหักหรือเป็นรูง่าย ๆ สีที่ใช้ก็คุณภาพเดียวกันกับสีพ่นรถยนต์ จะมันวาว ลดแรงปะทะของกระสุนบีบีกัน”
ทุนเบื้องต้นสำหรับทำหน้ากากขาย ใช้ประมาณ 5,000 บาท ก็ทำได้ ส่วนใหญ่เป็นค่าน้ำยาและอุปกรณ์ที่จำเป็น ถ้าใครมีอุปกรณ์บางชิ้นอยู่แล้ว ต้นทุนก็ลดลงไป ส่วนทุนวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ 60% จากราคาขาย
วัตถุดิบนั้นก็ประกอบด้วย น้ำยาเรซิ่น, น้ำยาไฟเบอร์กลาส, ใยแก้ว, ตะแกรงเหล็ก, สายคาด, สีสเปรย์, สีอะคริลิก (ใช้เพนท์ลวดลายหน้ากาก), อุปกรณ์สำหรับตกแต่งตามต้องการ และเชลแล็กเคลือบผิว
ขณะที่อุปกรณ์ที่จำเป็นก็มี เครื่องเจียผิว, เครื่องขัด, สว่านไฟฟ้า
ขั้นตอนการทำ เริ่มจากออกแบบหน้ากากที่ต้องการ จากนั้นทำการขึ้นแม่พิมพ์ของตัวพิมพ์จากดินสำหรับปั้น เมื่อได้แม่พิมพ์แล้วให้นำปูนปลาสเตอร์มาทาบริเวณด้านในของแม่พิมพ์ให้ทั่วจนได้ความหนาที่ต้องการ จากนั้นทิ้งไว้ให้แห้ง จึงค่อย ๆ แกะออกจากแม่พิมพ์ ก็จะได้ตัวพิมพ์ สำหรับขึ้นเรซิ่นไฟเบอร์กลาส
เมื่อได้ตัวพิมพ์หน้ากากแล้ว ให้นำน้ำยาเรซิ่นไฟเบอร์กลาสทาให้ทั่วบริเวณด้านในของตัวพิมพ์ โดยเมื่อทาเสร็จชั้นหนึ่งก็ให้นำใยแก้วที่เตรียมไว้แปะลงไป จากนั้นจึงทาเรซิ่นทับอีกชั้นหนึ่ง โดยทำอย่างนี้ประมาณ 4-5 ครั้งจนครบ จากนั้นรอให้แห้ง ใช้เวลาประมาณครึ่งวันถึงหนึ่งวัน (ถ้าต้องการย่นเวลาก็อาจใช้น้ำยาเร่ง โดยถ้าใช้น้ำยาเร่งก็จะใช้เวลาเพียง 4-5 นาทีก็ใช้งานได้แล้ว) เมื่อเรซิ่นแห้งตัวก็แกะออกจากตัวพิมพ์
จากนั้นนำมาขัดผิวด้วยเครื่องเจียและเครื่องขัด เพื่อทำให้ผิวหน้ากากเรียบ
ขั้นตอนการลงสี ขั้นตอนนี้สีจะดี-ไม่ดีขึ้นอยู่กับว่าเรซิ่นที่หล่อเป็นหน้ากากแห้งสนิทหรือไม่ ถ้าเรซิ่นไม่แห้ง สีที่พ่นไปอาจเกิดการหลุดร่อนในภายหลังหรือขณะใช้งาน การลงสีให้ลงสีรองพื้นชั้นหนึ่งก่อน ทิ้งไว้ให้แห้ง จากนั้นจึงลงสีจริงอีกครั้งหนึ่ง เมื่อสีแห้งจึงนำไปตกแต่งลวดลายด้วยสีอะคริลิก ทิ้งไว้แห้ง จากนั้นจึงประกอบสายคาดหน้ากาก และตกแต่งตามต้องการ เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ
ใครต้องการติดต่อ ธรรมรงค์ อินทะพันธุ์ โทร. 08-0205-9417, 0-2982-8220 หรือที่อีเมล momojung321@hotmail.com ซึ่งใครที่สนใจอยากจะรู้รายละเอียดลึก ๆ เกี่ยวกับสินค้า “หน้ากากบีบีกัน” หรืออยากจะฝึกทำ ก็ลองสอบถามจากเจ้าของงานได้โดยตรง.
ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ รายงาน
ขอบคุณเดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th
ข้าวมันไก่พันธ์ใหม่ 'ข้าวมันไก่พะโล้'
ข้าวมันไก่ล่าสุด อาชีพค้าขายอาหารถ้าพลิกแพลงดัดแปลงพัฒนาเมนูใหม่ ๆ ให้เป็นทางเลือกใหม่ของลูกค้า อาจจะสร้างรายได้ให้กับผู้คิดค้นได้เป็นอย่างดี เหมือนผู้ที่คิดเมนู “ข้าวมันไก่พะโล้” และ “กวยจั๊บเป็ดพะโล้” ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” ไปเสาะหาข้อมูลมานำเสนอให้ลองพิจารณากันในวันนี้...
สุวิทย์ พรรณราย หรือ หลวง แห่งร้านเป็ดดอนหวาย (ศิษย์วัดดอนหวาย) สาขาแยกสวนสมเด็จ เล่าว่า เป็นคนที่ชอบการทำอาหาร และทำงานเกี่ยวกับอาหารมาตั้งแต่สมัยยังเรียนไป-ทำงานไป โดยเริ่มจากเป็นพนักงานเสิร์ฟ ผู้ช่วยเชฟ อาศัยศึกษาจดจำ ไม่รู้ตรงไหนก็จะถาม จนพัฒนาฝีมือขึ้นเป็นเชฟ เคยทำงานหลายที่ และภายหลังก็ออกมาทำร้านอาหารเป็นของตัวเอง ซึ่งก็ได้รับการตอบรับดีจากลูกค้า อย่างไรก็ตาม ในยุคที่เจอปัญหาเรื่องพิษเศรษฐกิจราวปี 2540 ร้านอาหารที่ทำอยู่เริ่มไปไม่ไหว จนต้องปิดกิจการไป
“ในช่วงนั้นพอดีมีโอกาสได้ไปนมัสการเจ้าอาวาสวัดดอนหวาย และได้ยินว่าเป็ดที่นี่อร่อย จึงคิดจะเปิดร้านเป็ดวัดดอนหวายที่กรุงเทพฯ โดยใช้คำว่าศิษย์วัดดอนหวายต่อท้าย เพราะเห็นว่าที่กรุงเทพฯ ยังไม่มีใครเปิด”
ด้วยความที่มีฝีมือทางด้านการทำอาหารอยู่แล้วจึงไม่ยากในการทำ “เป็ดพะโล้” ซึ่ง เคล็ดลับที่สำคัญคือการ “ต้มให้มีความหอม-นุ่มอร่อย” หลังจากเปิดร้านก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งนอกจากจะขายเป็ดพะโล้ ก๋วยเตี๋ยวเป็ด ยังคิดค้นเมนูใหม่ ๆ ออกมาให้ลูกค้ามีตัวเลือกมากขึ้น
เมนูล่าสุดของร้านนี้คือ “ข้าวมันไก่พะโล้” “กวยจั๊บเป็ด”
ข้าวมันไก่พะโล้ก็เปลี่ยนจากไก่ต้มมาเป็นไก่พะโล้ ส่วนกวยจั๊บเป็ดก็เปลี่ยนมาใช้เส้นกวยจั๊บแทนเส้นก๋วยเตี๋ยว เปลี่ยนจากหมูมาใช้เป็ด แต่ทั้ง 2 เมนูนั้นก็ยังสำคัญอยู่ที่การต้มไก่และเป็ดให้หอม-ให้เนื้อนุ่ม
วัตถุดิบที่ต้องใช้ในการต้มหรือตุ๋นนั้น แบ่งออกได้ดังนี้ พวกเครื่องยาจีนก็มี... โสมตังกุย 2 ขีด, ไม้หอม (อบเชย) 1/2 ขีด, โป๊ยกั๊ก 1 ขีด, เก๋ากี๊ 1/2 ขีด, ลูกจันทน์ 1/2 ขีด, เม็ดผักชี 1/2 ขีด พวกสมุนไพรไทยก็มี... ข่า 2 ขีด, ตะไคร้ 4-5 ต้น, กระเทียมกลีบเล็ก, ใบเตย, มะตูมอบแห้ง ส่วนเครื่องปรุงประกอบด้วย... ซีอิ๊วขาว, ซอสปรุงรส, น้ำมันหอย, ซีอิ๊วดำ, น้ำกระเทียมดอง, เกลือเม็ด, ผงพะโล้, เหล้าขาว
ขั้นตอนการทำ... เริ่มจากนำไก่หรือเป็ดไปล้างทำความสะอาด โดยต้องล้างให้สะอาดจริง ๆ เอามันที่ติดอยู่บริเวณก้นของไก่และเป็ดออกให้หมด เลือดที่อยู่ภายในตัวไก่และเป็ดก็ต้องล้างออกให้เกลี้ยง เพราะถ้าล้างออกไม่สะอาดเวลา ต้มออกมาแล้วจะทำให้มีกลิ่นสาบ และทำให้ไก่และเป็ดนั้นเสียเร็วด้วย
หลังจากล้างทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมน้ำสำหรับตุ๋น โดยตั้งน้ำ นำสมุนไพรจีนทั้งหมด และสมุนไพรไทยบางตัวคือกระเทียมกลีบทุบพอแตกและมะตูมอบแห้ง ใส่รวมลงไปในห่อผ้าขาวบาง มัดปากห่อให้เรียบร้อย ใส่ลงไปต้ม ส่วนข่าและตะไคร้ให้ทุบพอหยาบ และใบเตยจับมัดให้เป็นกอ ใส่ตามลงไป
จากนั้นปรุงรสด้วยเครื่องปรุงทั้งหมด ยกเว้นน้ำมันหอยและผงพะโล้ ใช้ไฟแรงต้มจนน้ำเดือดจัด แล้วก็ใส่น้ำมันหอยและผงพะโล้ลงไปคนให้ละลายเข้ากันกับน้ำ จากนั้นก็ลดไฟลงมาให้อยู่ในระดับปานกลาง ใส่ไก่หรือเป็ดลงไปตุ๋นโดยจับเวลาด้วย ถ้าเป็นไก่ก็ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ส่วนเป็ดเนื้อเหนียวกว่าใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เท่านี้ก็จะได้ไก่และเป็ดไว้สำหรับทำข้าวมันไก่พะโล้และกวยจั๊บเป็ด
ตามสัดส่วนที่ว่ามาข้างต้นสามารถตุ๋นไก่หรือเป็ดได้ประมาณ 5 ตัว ต้นทุนในส่วนของเป็ดตัวละประมาณ 270 บาท ขณะที่ไก่ตัวละประมาณ 190 บาท
สำหรับการทำ “น้ำซุปก๋วยเตี๋ยว-กวยจั๊บ” นั้น ก็ใช้เครื่องปรุงและเครื่องเทศยาจีนและสมุนไพรไทยเหมือนการทำน้ำตุ๋น เพียงแต่ถ้าทำน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวไม่ต้องใส่เหล้าขาว
การหุง “ข้าวมัน” ใช้กระเทียม กลีบเล็กมาปั่นกับน้ำมันพืชให้ละเอียด จากนั้นก็นำไปเจียวพอให้กระเทียมหอม นำข้าวสารไปล้างซาวน้ำให้สะอาด นำกระเทียมที่เจียวไว้, เกลือผง, น้ำตาลทราย, ผงปรุงรส ลง คลุกเคล้ากับข้าวจนละลายเข้ากัน จากนั้นเติมน้ำใส่ใบเตย แล้วนำไปหุงให้สุก
“ข้าวมันไก่พะโล้” ขายจานละ 30 บาท ส่วน “กวยจั๊บเป็ด” ชามละ 35 บาท ต้นทุนประมาณไม่เกิน 70%
ใครสนใจ “ข้าวมันไก่พะโล้-กวยจั๊บเป็ดพะโล้” รวมถึง ก๋วยเตี๋ยวเป็ด-เป็ดพะโล้ ของร้านเป็ดดอนหวาย (ศิษย์วัดดอนหวาย) สาขาแยกสวนสมเด็จ ร้านนี้อยู่ใกล้แยกสวนสมเด็จ ถ้ามาจากดอนเมือง พอถึงแยกสวนสมเด็จก็เลี้ยวขวา แล้วไปกลับรถ ร้านอยู่ข้างทางซ้ายมือ สอบถามเส้นทาง โทร. 08-5963-2284.
ที่มา เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th/
สุวิทย์ พรรณราย หรือ หลวง แห่งร้านเป็ดดอนหวาย (ศิษย์วัดดอนหวาย) สาขาแยกสวนสมเด็จ เล่าว่า เป็นคนที่ชอบการทำอาหาร และทำงานเกี่ยวกับอาหารมาตั้งแต่สมัยยังเรียนไป-ทำงานไป โดยเริ่มจากเป็นพนักงานเสิร์ฟ ผู้ช่วยเชฟ อาศัยศึกษาจดจำ ไม่รู้ตรงไหนก็จะถาม จนพัฒนาฝีมือขึ้นเป็นเชฟ เคยทำงานหลายที่ และภายหลังก็ออกมาทำร้านอาหารเป็นของตัวเอง ซึ่งก็ได้รับการตอบรับดีจากลูกค้า อย่างไรก็ตาม ในยุคที่เจอปัญหาเรื่องพิษเศรษฐกิจราวปี 2540 ร้านอาหารที่ทำอยู่เริ่มไปไม่ไหว จนต้องปิดกิจการไป
“ในช่วงนั้นพอดีมีโอกาสได้ไปนมัสการเจ้าอาวาสวัดดอนหวาย และได้ยินว่าเป็ดที่นี่อร่อย จึงคิดจะเปิดร้านเป็ดวัดดอนหวายที่กรุงเทพฯ โดยใช้คำว่าศิษย์วัดดอนหวายต่อท้าย เพราะเห็นว่าที่กรุงเทพฯ ยังไม่มีใครเปิด”
ด้วยความที่มีฝีมือทางด้านการทำอาหารอยู่แล้วจึงไม่ยากในการทำ “เป็ดพะโล้” ซึ่ง เคล็ดลับที่สำคัญคือการ “ต้มให้มีความหอม-นุ่มอร่อย” หลังจากเปิดร้านก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งนอกจากจะขายเป็ดพะโล้ ก๋วยเตี๋ยวเป็ด ยังคิดค้นเมนูใหม่ ๆ ออกมาให้ลูกค้ามีตัวเลือกมากขึ้น
เมนูล่าสุดของร้านนี้คือ “ข้าวมันไก่พะโล้” “กวยจั๊บเป็ด”
ข้าวมันไก่พะโล้ก็เปลี่ยนจากไก่ต้มมาเป็นไก่พะโล้ ส่วนกวยจั๊บเป็ดก็เปลี่ยนมาใช้เส้นกวยจั๊บแทนเส้นก๋วยเตี๋ยว เปลี่ยนจากหมูมาใช้เป็ด แต่ทั้ง 2 เมนูนั้นก็ยังสำคัญอยู่ที่การต้มไก่และเป็ดให้หอม-ให้เนื้อนุ่ม
วัตถุดิบที่ต้องใช้ในการต้มหรือตุ๋นนั้น แบ่งออกได้ดังนี้ พวกเครื่องยาจีนก็มี... โสมตังกุย 2 ขีด, ไม้หอม (อบเชย) 1/2 ขีด, โป๊ยกั๊ก 1 ขีด, เก๋ากี๊ 1/2 ขีด, ลูกจันทน์ 1/2 ขีด, เม็ดผักชี 1/2 ขีด พวกสมุนไพรไทยก็มี... ข่า 2 ขีด, ตะไคร้ 4-5 ต้น, กระเทียมกลีบเล็ก, ใบเตย, มะตูมอบแห้ง ส่วนเครื่องปรุงประกอบด้วย... ซีอิ๊วขาว, ซอสปรุงรส, น้ำมันหอย, ซีอิ๊วดำ, น้ำกระเทียมดอง, เกลือเม็ด, ผงพะโล้, เหล้าขาว
ขั้นตอนการทำ... เริ่มจากนำไก่หรือเป็ดไปล้างทำความสะอาด โดยต้องล้างให้สะอาดจริง ๆ เอามันที่ติดอยู่บริเวณก้นของไก่และเป็ดออกให้หมด เลือดที่อยู่ภายในตัวไก่และเป็ดก็ต้องล้างออกให้เกลี้ยง เพราะถ้าล้างออกไม่สะอาดเวลา ต้มออกมาแล้วจะทำให้มีกลิ่นสาบ และทำให้ไก่และเป็ดนั้นเสียเร็วด้วย
หลังจากล้างทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมน้ำสำหรับตุ๋น โดยตั้งน้ำ นำสมุนไพรจีนทั้งหมด และสมุนไพรไทยบางตัวคือกระเทียมกลีบทุบพอแตกและมะตูมอบแห้ง ใส่รวมลงไปในห่อผ้าขาวบาง มัดปากห่อให้เรียบร้อย ใส่ลงไปต้ม ส่วนข่าและตะไคร้ให้ทุบพอหยาบ และใบเตยจับมัดให้เป็นกอ ใส่ตามลงไป
จากนั้นปรุงรสด้วยเครื่องปรุงทั้งหมด ยกเว้นน้ำมันหอยและผงพะโล้ ใช้ไฟแรงต้มจนน้ำเดือดจัด แล้วก็ใส่น้ำมันหอยและผงพะโล้ลงไปคนให้ละลายเข้ากันกับน้ำ จากนั้นก็ลดไฟลงมาให้อยู่ในระดับปานกลาง ใส่ไก่หรือเป็ดลงไปตุ๋นโดยจับเวลาด้วย ถ้าเป็นไก่ก็ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ส่วนเป็ดเนื้อเหนียวกว่าใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เท่านี้ก็จะได้ไก่และเป็ดไว้สำหรับทำข้าวมันไก่พะโล้และกวยจั๊บเป็ด
ตามสัดส่วนที่ว่ามาข้างต้นสามารถตุ๋นไก่หรือเป็ดได้ประมาณ 5 ตัว ต้นทุนในส่วนของเป็ดตัวละประมาณ 270 บาท ขณะที่ไก่ตัวละประมาณ 190 บาท
สำหรับการทำ “น้ำซุปก๋วยเตี๋ยว-กวยจั๊บ” นั้น ก็ใช้เครื่องปรุงและเครื่องเทศยาจีนและสมุนไพรไทยเหมือนการทำน้ำตุ๋น เพียงแต่ถ้าทำน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวไม่ต้องใส่เหล้าขาว
การหุง “ข้าวมัน” ใช้กระเทียม กลีบเล็กมาปั่นกับน้ำมันพืชให้ละเอียด จากนั้นก็นำไปเจียวพอให้กระเทียมหอม นำข้าวสารไปล้างซาวน้ำให้สะอาด นำกระเทียมที่เจียวไว้, เกลือผง, น้ำตาลทราย, ผงปรุงรส ลง คลุกเคล้ากับข้าวจนละลายเข้ากัน จากนั้นเติมน้ำใส่ใบเตย แล้วนำไปหุงให้สุก
“ข้าวมันไก่พะโล้” ขายจานละ 30 บาท ส่วน “กวยจั๊บเป็ด” ชามละ 35 บาท ต้นทุนประมาณไม่เกิน 70%
ใครสนใจ “ข้าวมันไก่พะโล้-กวยจั๊บเป็ดพะโล้” รวมถึง ก๋วยเตี๋ยวเป็ด-เป็ดพะโล้ ของร้านเป็ดดอนหวาย (ศิษย์วัดดอนหวาย) สาขาแยกสวนสมเด็จ ร้านนี้อยู่ใกล้แยกสวนสมเด็จ ถ้ามาจากดอนเมือง พอถึงแยกสวนสมเด็จก็เลี้ยวขวา แล้วไปกลับรถ ร้านอยู่ข้างทางซ้ายมือ สอบถามเส้นทาง โทร. 08-5963-2284.
ที่มา เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th/
‘ผีเสื้อ-แมลงปอ’ งานไอเดียเด็ด ‘ผ้าใยบัว’
“ผ้าใยบัว” สามารถใช้สร้างสรรค์เป็นงานประดิษฐ์ได้หลากหลายรูปแบบ แล้วแต่ใครจะประดิษฐ์เป็นอะไร จะทำเป็นอาชีพหลักหรือจะทำเป็นอาชีพเสริมก็ได้ และวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลการใช้ผ้าใยบัวประดิษฐ์เป็น “ผีเสื้อ-แมลงปอ” ขายผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นรายได้เสริมจากงานประจำ มานำเสนอ...
“ภูทัย แสงนิล” และ “ธัญวรัตน์ คงเหว่า” นำผ้าใยบัวมาประดิษฐ์เป็น “ผีเสื้อ-แมลงปอ” ขายเป็นรายได้เสริมจากงานประจำ โดยการลงขายผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งก็สร้างรายได้เสริมเป็นอย่างดีให้กับทั้งคู่ โดยธัญวรัตน์เล่าว่า ตนและแฟนเคยรับงานการเข้าปีกผีเสื้อด้วยผ้าใยบัวเป็นอาชีพเสริม ซึ่งภายหลังมีความคิดว่าน่าจะทำผีเสื้อและแมลงปอจากผ้าใยบัวขายเอง เพราะถ้าทำเองขายเองก็ไม่ต้องรีบ มีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็ทำ
คิดได้ดังนั้นก็เริ่มฝึกหัดทำกับแฟน โดยใช้เวลาลองผิดลองถูกอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ โดยการทำงานชิ้นนี้ของทั้งคู่นั้นจะแบ่งส่วนการทำงานอย่างชัดเจน เพื่อความรวดเร็วในการทำ โดยการขึ้นโครงให้เป็นตัวผีเสื้อและแมลงปอนั้นจะเป็นหน้าที่ของภูทัย ส่วนธัญวรัตน์จะเป็นคนขึ้นปีกด้วยผ้าใยบัวและตกแต่ง
ทั้งผีเสื้อและแมลงปอที่ทำขึ้นจะมีทั้งแบบที่ติดเข็มกลัด ติดแม่เหล็กเป็นแมกเนตติดตู้เย็น และนำไปตกแต่งติดกับไฟกะพริบเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า โดยขายผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งได้รับการตอบรับดีพอสมควร
วัสดุ-อุปกรณ์ในการทำหลัก ๆ ก็มี... ผ้าใยบัว, เส้นลวดสีทอง, ปืนยิงซิลิโคน, ซิลิโคน, ด้าย, เลื่อม, อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับทำปีก 2 ขนาด ผ้าใยบัวที่ใช้นั้นควรเน้นเลือกซื้อผ้าที่มีสีสันสดใส เพราะเวลาหุ้มทำปีกแล้วจะออกมาสวยงาม ซึ่งก็ควรจะมีประมาณ 6-7 สี หรือมากกว่านั้น ส่วนลวดสีทองนั้นใช้ลวดเบอร์ 26 เพราะไม่อ่อนหรือนิ่มเกินไป สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ทำปีกนั้น จะใช้ท่อพีวีซีหรือวัสดุอะไรก็ได้ ขอให้เป็นทรงกระบอกกลม ๆ ให้มี 2 ขนาด ขนาดเล็กใช้ประมาณเส้นผ่าศูนย์กลางครึ่งนิ้ว ขนาดใหญ่ 1 นิ้ว หรือจะใช้ขนาดใหญ่กว่าก็ได้
ผ้าใยบัวนั้นหาซื้อได้ที่ตลาดนัดสวนจตุจักร ส่วนอุปกรณ์อื่น ๆ ซื้อที่สำเพ็งจะได้ราคาถูก
ขั้นตอนการทำ เริ่มจากการทำโครงก่อนเป็นอันดับแรก การทำโครงผีเสื้อ เริ่มจากนำลวดสีทอง 1 เส้น มาทำการพับแบ่งครึ่งให้เท่ากัน นำลูกปัดขนาดเล็ก 1 ชิ้นร้อยใส่ไปในลวด จากนั้นก็ใช้ลูกปัดทรงหยดน้ำร้อยตามลงไป ตามด้วยลูกปัดกลมใหญ่อีกที เมื่อทำการร้อยลูกปัดเสร็จแล้วจากนั้นก็ให้แยกปลายลวดออกห่างกัน นำอุปกรณ์ทรงกระบอกที่ใช้สำหรับทำปีกมาพันเส้นลวดข้างหนึ่งให้รอบอุปกรณ์ทรงกระบอก เมื่อได้รอบก็ดึงออกจากอุปกรณ์ที่พัน ทำเหมือนกันอีกข้าง จากนั้นก็ใช้อุปกรณ์ทรงกระบอกที่ไซซ์ใหญ่ขึ้นทำเหมือนเดิมอีกครั้ง
ก็จะได้วงกลมทั้งหมด 4 วง ที่เป็นปีกผีเสื้อ ทำการจัดแยกให้ได้เป็นทรงรูปผีเสื้อ แล้วก็นำลูกปัดทรงกลมร้อยใส่ลงไป 2 ชิ้นเพื่อทำเป็นตา พันลวดปิดให้แน่นตัดปลายลวดออกให้เหลือพอประมาณเป็นหนวดผีเสื้อ
การทำโครงแมลงปอ นำลวดมาทำการพับแบ่งครึ่งให้เท่ากัน ร้อยลูกปัด 2 ชิ้นลงไปเพื่อเป็นลูกตา จากนั้นก็ม้วนทำปีกด้วยวิธีการเดียวกับการทำปีกผีเสื้อ ทำปีกเสร็จแยกปีกให้เรียบร้อย ปลายลวดที่เหลือให้ทำการตัดออกไป 1 ปลายให้เหลือปลายเดียว เมื่อขึ้นผ้าที่ปีกเรียบร้อยแล้วก็ใส่ลูกปัดรูปหยดน้ำลงไปทำเป็นตัว ตามด้วยทรงกลมเล็ก และทรงกระบอก ใส่ประมาณ 3 ช่วง ก็จะได้เป็นหาง
การขึ้นผ้าทำปีกผีเสื้อ ทำการเลือกสีผ้าตามต้องการ การขึ้นก็ทำการดึงผ้าให้ตึงครอบหุ้มปีกลงไป จากนั้นใช้ด้ายทำการมัดให้แน่นที่ปลาย ไล่ทำไปเรื่อย ๆ จนครบทุกปีก ต้องใช้ผ้าชิ้นเดียวขึ้นทีเดียวเสร็จเรียบร้อยไปเลย เมื่อขึ้นปีกเสร็จก็ทำการดัดปีกให้ได้ทรงปีกผีเสื้อ จากนั้นก็ทำการตกแต่งติดเลื่อมตามต้องการ เท่านี้ก็เสร็จ จะนำไปทำเป็นที่ติดตู้เย็น หรือเข็มกลัดติดเสื้อ หรือตกแต่งติดใส่ไฟกะพริบก็ได้ตามต้องการ
“ผีเสื้อ-แมลงปอ” ของภูทัยและธัญวรัตน์ มีขายทั้งที่เป็นตัวเดี่ยว ๆ ตัวละ 7 บาท ทำเป็นที่ติดตู้เย็น และทำเป็นเข็มกลัด ราคาชิ้นละ 10 บาท ถ้าตกแต่งใส่ไฟกะพริบ 3 เมตร ตกแต่ง 18 ตัว ราคา 199 บาท แต่ถ้าตกแต่งใส่ไฟกะพริบ 5 เมตร ตกแต่ง 50 ตัว ราคา 250 บาท ต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 60% ของราคา
ภูทัยและธัญวรัตน์ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้านขายสินค้า ใช้วิธีลงประกาศขายผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งสำหรับผู้ที่สนใจต้องการจะสั่งซื้อ สั่งไปจำหน่ายต่อ หรือต้องการสอบถามพูดคุย ก็ติดต่อกับธัญวรัตน์ได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 08-5931-5172 ทั้งนี้ งานประดิษฐ์ผ้าใยบัวลักษณะนี้ก็สามารถเป็นช่องทางทำกินที่น่าสนใจได้.
บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน/จเร รัตนราตรี : ภาพ ทีมา เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th
“ภูทัย แสงนิล” และ “ธัญวรัตน์ คงเหว่า” นำผ้าใยบัวมาประดิษฐ์เป็น “ผีเสื้อ-แมลงปอ” ขายเป็นรายได้เสริมจากงานประจำ โดยการลงขายผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งก็สร้างรายได้เสริมเป็นอย่างดีให้กับทั้งคู่ โดยธัญวรัตน์เล่าว่า ตนและแฟนเคยรับงานการเข้าปีกผีเสื้อด้วยผ้าใยบัวเป็นอาชีพเสริม ซึ่งภายหลังมีความคิดว่าน่าจะทำผีเสื้อและแมลงปอจากผ้าใยบัวขายเอง เพราะถ้าทำเองขายเองก็ไม่ต้องรีบ มีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็ทำ
คิดได้ดังนั้นก็เริ่มฝึกหัดทำกับแฟน โดยใช้เวลาลองผิดลองถูกอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ โดยการทำงานชิ้นนี้ของทั้งคู่นั้นจะแบ่งส่วนการทำงานอย่างชัดเจน เพื่อความรวดเร็วในการทำ โดยการขึ้นโครงให้เป็นตัวผีเสื้อและแมลงปอนั้นจะเป็นหน้าที่ของภูทัย ส่วนธัญวรัตน์จะเป็นคนขึ้นปีกด้วยผ้าใยบัวและตกแต่ง
ทั้งผีเสื้อและแมลงปอที่ทำขึ้นจะมีทั้งแบบที่ติดเข็มกลัด ติดแม่เหล็กเป็นแมกเนตติดตู้เย็น และนำไปตกแต่งติดกับไฟกะพริบเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า โดยขายผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งได้รับการตอบรับดีพอสมควร
วัสดุ-อุปกรณ์ในการทำหลัก ๆ ก็มี... ผ้าใยบัว, เส้นลวดสีทอง, ปืนยิงซิลิโคน, ซิลิโคน, ด้าย, เลื่อม, อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับทำปีก 2 ขนาด ผ้าใยบัวที่ใช้นั้นควรเน้นเลือกซื้อผ้าที่มีสีสันสดใส เพราะเวลาหุ้มทำปีกแล้วจะออกมาสวยงาม ซึ่งก็ควรจะมีประมาณ 6-7 สี หรือมากกว่านั้น ส่วนลวดสีทองนั้นใช้ลวดเบอร์ 26 เพราะไม่อ่อนหรือนิ่มเกินไป สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ทำปีกนั้น จะใช้ท่อพีวีซีหรือวัสดุอะไรก็ได้ ขอให้เป็นทรงกระบอกกลม ๆ ให้มี 2 ขนาด ขนาดเล็กใช้ประมาณเส้นผ่าศูนย์กลางครึ่งนิ้ว ขนาดใหญ่ 1 นิ้ว หรือจะใช้ขนาดใหญ่กว่าก็ได้
ผ้าใยบัวนั้นหาซื้อได้ที่ตลาดนัดสวนจตุจักร ส่วนอุปกรณ์อื่น ๆ ซื้อที่สำเพ็งจะได้ราคาถูก
ขั้นตอนการทำ เริ่มจากการทำโครงก่อนเป็นอันดับแรก การทำโครงผีเสื้อ เริ่มจากนำลวดสีทอง 1 เส้น มาทำการพับแบ่งครึ่งให้เท่ากัน นำลูกปัดขนาดเล็ก 1 ชิ้นร้อยใส่ไปในลวด จากนั้นก็ใช้ลูกปัดทรงหยดน้ำร้อยตามลงไป ตามด้วยลูกปัดกลมใหญ่อีกที เมื่อทำการร้อยลูกปัดเสร็จแล้วจากนั้นก็ให้แยกปลายลวดออกห่างกัน นำอุปกรณ์ทรงกระบอกที่ใช้สำหรับทำปีกมาพันเส้นลวดข้างหนึ่งให้รอบอุปกรณ์ทรงกระบอก เมื่อได้รอบก็ดึงออกจากอุปกรณ์ที่พัน ทำเหมือนกันอีกข้าง จากนั้นก็ใช้อุปกรณ์ทรงกระบอกที่ไซซ์ใหญ่ขึ้นทำเหมือนเดิมอีกครั้ง
ก็จะได้วงกลมทั้งหมด 4 วง ที่เป็นปีกผีเสื้อ ทำการจัดแยกให้ได้เป็นทรงรูปผีเสื้อ แล้วก็นำลูกปัดทรงกลมร้อยใส่ลงไป 2 ชิ้นเพื่อทำเป็นตา พันลวดปิดให้แน่นตัดปลายลวดออกให้เหลือพอประมาณเป็นหนวดผีเสื้อ
การทำโครงแมลงปอ นำลวดมาทำการพับแบ่งครึ่งให้เท่ากัน ร้อยลูกปัด 2 ชิ้นลงไปเพื่อเป็นลูกตา จากนั้นก็ม้วนทำปีกด้วยวิธีการเดียวกับการทำปีกผีเสื้อ ทำปีกเสร็จแยกปีกให้เรียบร้อย ปลายลวดที่เหลือให้ทำการตัดออกไป 1 ปลายให้เหลือปลายเดียว เมื่อขึ้นผ้าที่ปีกเรียบร้อยแล้วก็ใส่ลูกปัดรูปหยดน้ำลงไปทำเป็นตัว ตามด้วยทรงกลมเล็ก และทรงกระบอก ใส่ประมาณ 3 ช่วง ก็จะได้เป็นหาง
การขึ้นผ้าทำปีกผีเสื้อ ทำการเลือกสีผ้าตามต้องการ การขึ้นก็ทำการดึงผ้าให้ตึงครอบหุ้มปีกลงไป จากนั้นใช้ด้ายทำการมัดให้แน่นที่ปลาย ไล่ทำไปเรื่อย ๆ จนครบทุกปีก ต้องใช้ผ้าชิ้นเดียวขึ้นทีเดียวเสร็จเรียบร้อยไปเลย เมื่อขึ้นปีกเสร็จก็ทำการดัดปีกให้ได้ทรงปีกผีเสื้อ จากนั้นก็ทำการตกแต่งติดเลื่อมตามต้องการ เท่านี้ก็เสร็จ จะนำไปทำเป็นที่ติดตู้เย็น หรือเข็มกลัดติดเสื้อ หรือตกแต่งติดใส่ไฟกะพริบก็ได้ตามต้องการ
“ผีเสื้อ-แมลงปอ” ของภูทัยและธัญวรัตน์ มีขายทั้งที่เป็นตัวเดี่ยว ๆ ตัวละ 7 บาท ทำเป็นที่ติดตู้เย็น และทำเป็นเข็มกลัด ราคาชิ้นละ 10 บาท ถ้าตกแต่งใส่ไฟกะพริบ 3 เมตร ตกแต่ง 18 ตัว ราคา 199 บาท แต่ถ้าตกแต่งใส่ไฟกะพริบ 5 เมตร ตกแต่ง 50 ตัว ราคา 250 บาท ต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 60% ของราคา
ภูทัยและธัญวรัตน์ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้านขายสินค้า ใช้วิธีลงประกาศขายผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งสำหรับผู้ที่สนใจต้องการจะสั่งซื้อ สั่งไปจำหน่ายต่อ หรือต้องการสอบถามพูดคุย ก็ติดต่อกับธัญวรัตน์ได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 08-5931-5172 ทั้งนี้ งานประดิษฐ์ผ้าใยบัวลักษณะนี้ก็สามารถเป็นช่องทางทำกินที่น่าสนใจได้.
บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน/จเร รัตนราตรี : ภาพ ทีมา เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
ขายน้ำผลไม้ปั่น ขายได้ทุกที่
การเพาะเห็ดชนิดต่าง ๆ
งานผ่านเน็ต ปัจจุบันที่ได้รับนิยม
เทียนหอมกันยุง ทำง่ายได้ตังค์
Happy Cake มิติใหม่เบเกอรี่ ทำเองได้ ขายความสนุก
‘ทับทิมกรอบรวมมิตร’ ขายคล่อง-ทุนต่ำ-ทำไม่ยาก
‘จ๊อปลาทู’ พลิกแพลงได้เด่น-เป็นเงิน
‘กาแฟชัก’ เทไปเทมา ‘ท่าทำเงิน’
‘ยำทรงเครื่อง’ ‘เกสรบัวหลวง’
‘ขายปลาทูนึ่ง’ เงินงาม
‘ที่ติดตู้เย็น น่ารักๆ’ พลิกแพลงได้ขายคล่อง
"น้ำเต้าหู้ใบเตย" เขียว ๆ หอม ๆ ขายง่าย
‘ตู้(เรือ)ปลา’ งานขายไอเดียราคาดี
การเพาะเห็ดชนิดต่าง ๆ
งานผ่านเน็ต ปัจจุบันที่ได้รับนิยม
เทียนหอมกันยุง ทำง่ายได้ตังค์
Happy Cake มิติใหม่เบเกอรี่ ทำเองได้ ขายความสนุก
‘ทับทิมกรอบรวมมิตร’ ขายคล่อง-ทุนต่ำ-ทำไม่ยาก
‘จ๊อปลาทู’ พลิกแพลงได้เด่น-เป็นเงิน
‘กาแฟชัก’ เทไปเทมา ‘ท่าทำเงิน’
‘ยำทรงเครื่อง’ ‘เกสรบัวหลวง’
‘ขายปลาทูนึ่ง’ เงินงาม
‘ที่ติดตู้เย็น น่ารักๆ’ พลิกแพลงได้ขายคล่อง
"น้ำเต้าหู้ใบเตย" เขียว ๆ หอม ๆ ขายง่าย
‘ตู้(เรือ)ปลา’ งานขายไอเดียราคาดี
***........*******.--...
-"กระเพาะปลาน้ำแดง" "เพื่อสุขภาพ"!-------- 'ตุ๊กตาถุงเท้า' ไอเดียเก๋ไก๋-รายได้สวย
***.........-******--...
--‘ทองพับแคลเซียม’ เพิ่มคุณค่า-------------- ‘อาหารก๊อปปี้’ สร้างเลียนแบบ
-"กระเพาะปลาน้ำแดง" "เพื่อสุขภาพ"!-------- 'ตุ๊กตาถุงเท้า' ไอเดียเก๋ไก๋-รายได้สวย
***.........-******--...
--‘ทองพับแคลเซียม’ เพิ่มคุณค่า-------------- ‘อาหารก๊อปปี้’ สร้างเลียนแบบ