การขายอาหารการกินในปัจจุบัน ไม่ว่าจะร้านเล็ก-ร้านใหญ่ นอกจาก ราคาเป็นธรรม ใส่ใจเรื่องความสะอาดแล้ว ควรให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพผู้บริโภคด้วย ซึ่งกับ “กระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าว-แปะก๊วย” ที่ทีม “อาชีพเสริม สร้างรายได้” มีข้อมูลมานำเสนอวันนี้ ก็ใส่ใจสุขภาพลูกค้าจนเป็นจุดขายที่ดีทีเดียว...
“กระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าว-แปะก๊วย” เจ้านี้ ธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาสำหรับคนรักสุขภาพ ผู้ปรุงขายนั้นเป็นอดีตข้าราชการของสถาบันมะเร็งฯในตำแหน่งโภชนากรดูแลอาหารผู้ป่วย เมื่อเกษียณอายุราชการแล้วก็เปิดกิจการเล็ก ๆ ขายกระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าวฯ และก็เป็นที่นิยมของลูกค้ามากทีเดียว
อารยา ปั้นพิพัฒน์ หรือ ป้าเจียม เจ้าของสูตร เล่าว่า ทำกระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าว-แปะก๊วยขายมาตั้งแต่ พ.ศ. 2543 ก็เป็นเวลากว่า 9 ปีแล้ว กระเพาะปลาที่ทำขายนั้นนอกจากเน้นความอร่อยแล้วยังให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพด้วย จะไม่ใส่เครื่องใน ใช้ยอดมะพร้าวแทนหน่อไม้ เสริมด้วยเม็ดแปะก๊วยซึ่งดีต่อสุขภาพ และจะไม่ใส่น้ำปลาและชูรส ที่สำคัญจะไม่ใส่สารกันบูด แต่แป้งก็ไม่มีการคืนตัว
สำหรับ อุปกรณ์ในการทำกระเพาะปลาน้ำแดงขายนั้น ถ้าทำขายเล็ก ๆ อุปกรณ์ การทำก็เป็นพวกเครื่องครัวต่าง ๆ เช่น เตาแก๊ส หม้อ จาน ฯลฯ และก็ควรต้องมีหม้อใส่กระเพาะปลาขายโดยเฉพาะด้วย
ส่วนสูตรและวิธีทำกระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าว-แปะก๊วยเจ้านี้ เริ่มที่ทำน้ำซุป โดยใส่น้ำสะอาดในหม้อเบอร์ 40 ต้มน้ำให้เดือด จากนั้นใส่โครงไก่หักครึ่ง 2 กก. รากผักชี 200 กรัม และพริกไทยดำ 200 กรัม ปรุงรสด้วยซอส 2 ถ้วย ซีอิ๊ว 1/2 ถ้วย และน้ำตาลกรวด 500 กรัม น้ำซุปนี้ต้มเคี่ยวประมาณ 3 ชั่วโมง
เมื่อขั้นตอนการต้มน้ำซุปเรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการทำกระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าว-แปะก๊วย โดยใส่กระเพาะปลา 1,500 กรัม (แช่น้ำให้นุ่ม ต้มให้สุก ล้างด้วยน้ำเย็น บีบให้พอหมาด ๆ แล้วหั่นเป็นชิ้น ๆ) แล้วใส่ เห็ดหอม 300 กรัม (แช่น้ำให้นิ่ม และหั่นเป็นชิ้น ๆ เช่นกัน)
ใส่ยอดมะพร้าวหั่นต้ม 1.5 กก. จากนั้นค่อย ๆ ละลายแป้งท้าวยายม่อมและแป้งถั่วอย่างละ 200 กรัม กับน้ำในปริมาณที่พอประมาณ ดูว่าไม่ใสเกินไป-ไม่ข้นเกินไป ละลายแป้งแล้วก็ใส่ลงไปในหม้อ ตามด้วยใส่เลือดไก่ 5 ถ้วย ซึ่งต้องล้าง และต้มให้สุกเสียก่อน จากนั้นใส่ไข่นกกระทาต้ม 50 ฟอง เท่านี้ก็เรียบร้อยไปส่วนหนึ่ง
ในส่วนของเม็ดแปะก๊วยนั้น จากสูตรส่วนผสมข้างต้น จะใช้ประมาณ 1.5 กก. (ล้างให้สะอาด และต้มให้สุก) โดยจะแยกไว้ต่างหากไม่ใส่ผสมเลยทีเดียว และรวมถึงเส้นหมี่ลวกสุกกับผักชีหั่น ที่ก็แยกไว้เช่นกัน
นอกจากนี้ ก็ต้องเตรียมน่องไก่และปีกไก่ตุ๋น 2 กก. (การตุ๋นน่องไก่หรือปีกไก่นั้นให้นำลงต้มพร้อมกับน้ำซุปกระเพาะปลาให้สุกก่อน เมื่อน่องไก่หรือปีกไก่สุกแล้วก็ให้ตักออกมาใส่หม้อตุ๋นอีกใบต่างหาก โดยตุ๋นด้วยน้ำซุปกระเพาะปลาที่แบ่งมา และปรุงรสด้วยซีอิ๊วดำพอประมาณ ตุ๋นไปจนงวดก็เป็นอันใช้ได้)
การขาย ก็ตักกระเพาะปลาใส่ถุงหรือชาม ขายชุดละ 25 บาท โดยกะปริมาณกระเพาะปลา ยอดมะพร้าว เส้นหมี่ และแป้ง ให้พอดี ๆ ใส่ไข่นกกระทา 2 ฟอง, น่องไก่หรือปีกไก่ 1 ชิ้น และเม็ดแปะก๊วยต้มจำนวนหนึ่ง โรยหน้าด้วยผักชีซอย และพริกไทย เสิร์ฟ-ขายพร้อมเครื่องปรุง อาทิ น้ำตาลทราย,จิ๊กโฉ่ว
จากปริมาณส่วนผสมที่ว่ามาข้างต้นนั้น เจ้าของสูตรนี้บอกว่า ถ้าขายหมดจะมี รายได้ประมาณ 2,000 บาท โดยต้นทุนจะอยู่ที่ประมาณ 1,000 บาท ซึ่งก็นับว่าเป็นเมนูอาหารที่สร้างรายได้น่าสนใจทีเดียว
ใครสนใจ “กระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าว-แปะก๊วย” สูตร ของป้าเจียม-อารยา อยากชิม หรือต้องการติดต่อไปออกร้าน ก็ติดต่อสอบถามไปได้ที่ โทร. 0-2526-5681, 08-1699-7505, 08-9484-7167 ส่วนใครที่ได้ไอเดียทำกินจากอาหารที่เน้นสรรพคุณเพื่อสุขภาพเป็นจุดขาย ก็รีบฝึกฝนเพื่อทำขาย อย่ารอช้า !!.
สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน-----------ที่มา เดลินิวส์
บทความที่ได้รับความนิยม
-
“ตุ๊กตา” ยุคไหน ๆ ก็ยังเป็นของเล่นยอดนิยมของเด็ก ๆ ทั่วไป และก็ได้มีการคิดทำตุ๊กตารูปแบบใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงกับตุ๊กตาแปลก ๆ แหว...
-
“ผ้าใยบัว” สามารถใช้สร้างสรรค์เป็นงานประดิษฐ์ได้หลากหลายรูปแบบ แล้วแต่ใครจะประดิษฐ์เป็นอะไร จะทำเป็นอาชีพหลักหรือจะทำเป็นอาชีพเสริมก็ได้ แล...
-
ยาหม่อง สินค้าต่อยอด 'งานปั้นดิน' การปั้นของจิ๋วจากดินเป็นงานศิลปะอีกอย่างหนึ่งที่สามารถทำเป็นอาชีพได้ และงานปั้นของจิ๋วนั้นก็สามารถ...
'ตุ๊กตาถุงเท้า' ไอเดียเก๋ไก๋-รายได้สวย
"ถุงเท้า” สามารถนำมาประดิษฐ์เป็น “ตุ๊กตา” ได้ เป็นอีกงานไอเดียสร้างมูลค่าเพิ่ม และเป็นสินค้าที่สามารถสร้างรายได้ ซึ่งวันนี้ทีม “อาชีพเสริม สร้างรายได้” ก็มีข้อมูลการทำ “ตุ๊กตาถุงเท้า” มานำเสนอ...
อาภรณ์ศิลป์ กันณิกา หรือ น้อง อายุ 27 ปี เรียนจบด้านวิศวกรรมโยธาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร แล้วก็เข้าทำงานเป็นวิศวกรโยธาอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง ส่วนเจ้า “ตุ๊กตาถุงเท้า” หรือซอค ดอลล์ (Sock doll) นี้ ทำจำหน่ายเป็นอาชีพเสริม ซึ่งก็สามารถทำรายได้ที่น่าสนใจ จึงทำเป็นงานเสริมมาเรื่อย ๆ
ความเป็นมาของการที่มาทำงานประเภทนี้ เจ้าของผลงานเล่าว่า เริ่มมาจากการที่ต้องการจะทำตุ๊กตาให้กับคนพิเศษในวันวาเลนไทน์ และเห็นพี่สาวทำตุ๊กตาถักไหมพรมอยู่ก่อนแล้ว จึงเกิดความคิดที่จะลองหาวัสดุอื่นมาลองทำ ก็ทดลองนำเอา “ถุงเท้า” มาทำ พอทำตุ๊กตาถุงเท้าเสร็จเป็นตัวแรกก็ได้นำรูปไปลงใน ไฮไฟว์ แล้วบังเอิญเพื่อนเข้ามาเห็นเลยอยากได้ จึงสั่งให้ผลิตตุ๊กตาให้ 2 คู่ แล้วจากนั้นก็มีออร์เดอร์สั่งเข้ามาอีกเรื่อย ๆ
“ตอนนั้นจำได้ว่ารู้สึกดีใจมาก จากที่ตอนแรกคิดว่าจะทำให้กับคน พิเศษในวันวาเลนไทน์เท่านั้น พอมีคนเริ่มสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เลยคิดที่จะลงทุนทำอย่างจริงจัง โดยใช้เวลาหลังเลิกงานและวันหยุดในการผลิตตุ๊กตาถุงเท้า ส่วนช่องทางการจำหน่ายก็นำไปลงประกาศขายตามเว็บไซต์ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเป็นอย่างดี มีผู้สนใจสั่งสินค้าเข้ามาเรื่อย ๆ”
เจ้าของผลงานบอกต่อไปว่า วัตถุดิบต่าง ๆ ที่ใช้ในการผลิตนั้น ส่วนใหญ่จะไปหาซื้อที่ย่านสำเพ็ง เพราะมีให้เลือกหลากหลาย ที่สำคัญคือมีราคาถูก ทำให้สามารถผลิตตุ๊กตาถุงเท้าได้ในต้นทุนที่ไม่สูงมาก ซึ่งการลงทุนทำตุ๊กตาถุงเท้านั้น ใช้เงินลงทุนเบื้องต้นประมาณ 3,000 บาท
“งานตุ๊กตาถุงเท้านั้นเป็นงานแฮนด์เมด งานทุกชิ้นที่ทำจึงไม่ ซ้ำใคร แต่ที่สำคัญการทำตุ๊กตาถุงเท้าจำหน่ายต้องพยายามออกแบบใหม่ ๆ ออกมาเรื่อย ๆ และบางครั้งลูกค้าต้องการแบบพิเศษเราก็ต้องพยายามออกแบบให้กับลูกค้าให้ได้ ต้องตอบสนองความต้องการให้กับลูกค้าให้ได้”
สำหรับวัสดุอุปกรณ์ในการทำ “ตุ๊กตาถุงเท้า” หลัก ๆ มีดังนี้คือ... ถุงเท้าสี เกรด A (เน้นสีสันสวยงาม), ถุงเท้าสีขาว, ใยสังเคราะห์เกรด A, เข็มเย็บผ้า, ด้ายวีนัส, ไหมพรม, ปืนกาว, ดินสอ, กรรไกร
ขั้นตอน-วิธีการทำตุ๊กตาถุงเท้า เริ่มจากการทำลำตัวของตุ๊กตาเป็นอันดับแรก โดยนำถุงเท้าสีมากลับเอาด้านในออกมาด้านนอก จากนั้นใช้ดินสอร่างแบบตัวตุ๊กตา แล้วใช้ด้ายสี (ซึ่งต้องใช้ด้ายสีเดียวกับตุ๊กตาเพื่อความสวยงาม) ทำการเย็บตามแบบที่ร่างไว้ การเย็บจะใช้การเย็บแบบด้นถอยหลัง เพื่อความสวยงามทนทาน
เมื่อทำการเย็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ใช้กรรไกรตัดตามรอยเย็บ จากนั้น ทำการกลับด้านถุงเท้า แล้วใส่ใยสังเคราะห์ให้แน่น เท่านี้ก็จะได้เป็นส่วนตัวตุ๊กตา เตรียมรอไว้
ลำดับ ต่อมาก็เป็นขั้นตอนการทำส่วนหัวของตุ๊กตา ซึ่งการทำส่วนหัวจะใช้ถุงเท้าสีขาว ทำการใส่ใยสังเคราะห์เข้าไปในถุงเท้าให้มีลักษณะกลม แล้วใช้ด้ายมัดให้แน่น
เมื่อได้ส่วนหัวของตุ๊กตาแล้วก็นำไปประกอบเข้ากับส่วนตัวตุ๊กตา ยึดติดกันให้แน่นโดยใช้ด้ายเย็บ จากนั้นก็ใช้ด้ายสีด้นตามแนวเส้นที่ร่างไว้บนส่วนตัวของตุ๊กตา เพื่อให้เป็นแขนของตุ๊กตา แล้วนำไหมพรมมาถักเป็นผม ผูกด้วยโบ นำไปติดกับส่วนหัวตุ๊กตา ยึดให้แน่นด้วยกาวจากปืนยิงกาว
ขั้นตอนต่อไปคือการตกแต่งตา โดยใช้ด้ายสีน้ำตาลปักทำเป็นตา และใช้ไหมพรมสีแดงปักทำเป็นปาก ทำการปัดแก้มตุ๊กตาด้วยสีสันต่าง ๆ ตามไอเดีย นำถุงเท้าสีส่วนที่เหลือมาทำเป็นหมวกให้กับตุ๊กตา โดยใช้ปืนกาวยึดให้แน่น เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
“ตุ๊กตาถุงเท้า” ที่เจ้าของงานรายนี้ทำอยู่ มีหลายแบบ เช่น ตุ๊กตาคู่ชาย-หญิง, ตุ๊กตาแมว, ตุ๊กตากระต่าย โดยมีราคาขายอยู่ที่คู่ละ 100-110 บาท ต้นทุนประมาณ 60% นอกจากนี้ยังสามารถพลิกแพลงทำเป็นชิ้นงานอื่น ๆ เช่น พวงกุญแจตุ๊กตาดุ๊กดิ๊ก, พวงกุญแจตุ๊กตาถักไหมพรม ที่ขายได้ในราคาตัวละ 50 บาท
คุณน้อง-อาภรณ์ศิลป์ใช้เว็บไซต์ www.Welove shopping.com/shop/sock-doll โชว์ “ตุ๊กตาถุงเท้า” สินค้าตัวอย่าง ใครสนใจก็ลองคลิกเข้าไปดู หรือต้องการสั่งก็ติดต่อได้ที่ โทร. 08-6074-7399, 08-1354-5251 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกกรณีตัวอย่าง “ไอเดียสร้างงาน-สร้างรายได้”.
บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : ........รายงาน ..........ที่มา เดลินิวส์
อาภรณ์ศิลป์ กันณิกา หรือ น้อง อายุ 27 ปี เรียนจบด้านวิศวกรรมโยธาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร แล้วก็เข้าทำงานเป็นวิศวกรโยธาอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง ส่วนเจ้า “ตุ๊กตาถุงเท้า” หรือซอค ดอลล์ (Sock doll) นี้ ทำจำหน่ายเป็นอาชีพเสริม ซึ่งก็สามารถทำรายได้ที่น่าสนใจ จึงทำเป็นงานเสริมมาเรื่อย ๆ
ความเป็นมาของการที่มาทำงานประเภทนี้ เจ้าของผลงานเล่าว่า เริ่มมาจากการที่ต้องการจะทำตุ๊กตาให้กับคนพิเศษในวันวาเลนไทน์ และเห็นพี่สาวทำตุ๊กตาถักไหมพรมอยู่ก่อนแล้ว จึงเกิดความคิดที่จะลองหาวัสดุอื่นมาลองทำ ก็ทดลองนำเอา “ถุงเท้า” มาทำ พอทำตุ๊กตาถุงเท้าเสร็จเป็นตัวแรกก็ได้นำรูปไปลงใน ไฮไฟว์ แล้วบังเอิญเพื่อนเข้ามาเห็นเลยอยากได้ จึงสั่งให้ผลิตตุ๊กตาให้ 2 คู่ แล้วจากนั้นก็มีออร์เดอร์สั่งเข้ามาอีกเรื่อย ๆ
“ตอนนั้นจำได้ว่ารู้สึกดีใจมาก จากที่ตอนแรกคิดว่าจะทำให้กับคน พิเศษในวันวาเลนไทน์เท่านั้น พอมีคนเริ่มสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เลยคิดที่จะลงทุนทำอย่างจริงจัง โดยใช้เวลาหลังเลิกงานและวันหยุดในการผลิตตุ๊กตาถุงเท้า ส่วนช่องทางการจำหน่ายก็นำไปลงประกาศขายตามเว็บไซต์ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเป็นอย่างดี มีผู้สนใจสั่งสินค้าเข้ามาเรื่อย ๆ”
เจ้าของผลงานบอกต่อไปว่า วัตถุดิบต่าง ๆ ที่ใช้ในการผลิตนั้น ส่วนใหญ่จะไปหาซื้อที่ย่านสำเพ็ง เพราะมีให้เลือกหลากหลาย ที่สำคัญคือมีราคาถูก ทำให้สามารถผลิตตุ๊กตาถุงเท้าได้ในต้นทุนที่ไม่สูงมาก ซึ่งการลงทุนทำตุ๊กตาถุงเท้านั้น ใช้เงินลงทุนเบื้องต้นประมาณ 3,000 บาท
“งานตุ๊กตาถุงเท้านั้นเป็นงานแฮนด์เมด งานทุกชิ้นที่ทำจึงไม่ ซ้ำใคร แต่ที่สำคัญการทำตุ๊กตาถุงเท้าจำหน่ายต้องพยายามออกแบบใหม่ ๆ ออกมาเรื่อย ๆ และบางครั้งลูกค้าต้องการแบบพิเศษเราก็ต้องพยายามออกแบบให้กับลูกค้าให้ได้ ต้องตอบสนองความต้องการให้กับลูกค้าให้ได้”
สำหรับวัสดุอุปกรณ์ในการทำ “ตุ๊กตาถุงเท้า” หลัก ๆ มีดังนี้คือ... ถุงเท้าสี เกรด A (เน้นสีสันสวยงาม), ถุงเท้าสีขาว, ใยสังเคราะห์เกรด A, เข็มเย็บผ้า, ด้ายวีนัส, ไหมพรม, ปืนกาว, ดินสอ, กรรไกร
ขั้นตอน-วิธีการทำตุ๊กตาถุงเท้า เริ่มจากการทำลำตัวของตุ๊กตาเป็นอันดับแรก โดยนำถุงเท้าสีมากลับเอาด้านในออกมาด้านนอก จากนั้นใช้ดินสอร่างแบบตัวตุ๊กตา แล้วใช้ด้ายสี (ซึ่งต้องใช้ด้ายสีเดียวกับตุ๊กตาเพื่อความสวยงาม) ทำการเย็บตามแบบที่ร่างไว้ การเย็บจะใช้การเย็บแบบด้นถอยหลัง เพื่อความสวยงามทนทาน
เมื่อทำการเย็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ใช้กรรไกรตัดตามรอยเย็บ จากนั้น ทำการกลับด้านถุงเท้า แล้วใส่ใยสังเคราะห์ให้แน่น เท่านี้ก็จะได้เป็นส่วนตัวตุ๊กตา เตรียมรอไว้
ลำดับ ต่อมาก็เป็นขั้นตอนการทำส่วนหัวของตุ๊กตา ซึ่งการทำส่วนหัวจะใช้ถุงเท้าสีขาว ทำการใส่ใยสังเคราะห์เข้าไปในถุงเท้าให้มีลักษณะกลม แล้วใช้ด้ายมัดให้แน่น
เมื่อได้ส่วนหัวของตุ๊กตาแล้วก็นำไปประกอบเข้ากับส่วนตัวตุ๊กตา ยึดติดกันให้แน่นโดยใช้ด้ายเย็บ จากนั้นก็ใช้ด้ายสีด้นตามแนวเส้นที่ร่างไว้บนส่วนตัวของตุ๊กตา เพื่อให้เป็นแขนของตุ๊กตา แล้วนำไหมพรมมาถักเป็นผม ผูกด้วยโบ นำไปติดกับส่วนหัวตุ๊กตา ยึดให้แน่นด้วยกาวจากปืนยิงกาว
ขั้นตอนต่อไปคือการตกแต่งตา โดยใช้ด้ายสีน้ำตาลปักทำเป็นตา และใช้ไหมพรมสีแดงปักทำเป็นปาก ทำการปัดแก้มตุ๊กตาด้วยสีสันต่าง ๆ ตามไอเดีย นำถุงเท้าสีส่วนที่เหลือมาทำเป็นหมวกให้กับตุ๊กตา โดยใช้ปืนกาวยึดให้แน่น เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
“ตุ๊กตาถุงเท้า” ที่เจ้าของงานรายนี้ทำอยู่ มีหลายแบบ เช่น ตุ๊กตาคู่ชาย-หญิง, ตุ๊กตาแมว, ตุ๊กตากระต่าย โดยมีราคาขายอยู่ที่คู่ละ 100-110 บาท ต้นทุนประมาณ 60% นอกจากนี้ยังสามารถพลิกแพลงทำเป็นชิ้นงานอื่น ๆ เช่น พวงกุญแจตุ๊กตาดุ๊กดิ๊ก, พวงกุญแจตุ๊กตาถักไหมพรม ที่ขายได้ในราคาตัวละ 50 บาท
คุณน้อง-อาภรณ์ศิลป์ใช้เว็บไซต์ www.Welove shopping.com/shop/sock-doll โชว์ “ตุ๊กตาถุงเท้า” สินค้าตัวอย่าง ใครสนใจก็ลองคลิกเข้าไปดู หรือต้องการสั่งก็ติดต่อได้ที่ โทร. 08-6074-7399, 08-1354-5251 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกกรณีตัวอย่าง “ไอเดียสร้างงาน-สร้างรายได้”.
บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : ........รายงาน ..........ที่มา เดลินิวส์
อบรม-ธุรกิจ 'ร้านเช่าหนังสือ'
สวัสดีวันเสาร์ที่ 19 ก.ย. 2552 ครับ !! ก็พบกับผมใน “ถอดรหัสอาชีพ” หน้า “ช่องทางทำกิน” อีกเช่นเคย โดยเสาร์นี้เรามาว่ากันด้วยเรื่องของอาชีพหรือธุรกิจ “เปิดร้านเช่าหนังสือ” ซึ่งทางสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือสถาบันพัฒนาเอสเอ็มอี ฝากแจ้งข่าวอบรมธุรกิจนี้เข้ามา และผมลองคลิกเข้าไปดูในเว็บไซต์ของสถาบันนี้ เห็นว่ามีข้อมูลธุรกิจนี้อยู่ด้วยโดยสังเขป ก็เลยนำมาเล่าสู่กันด้วยเสียเลย...
จากข้อมูลในเว็บไซต์ www.ismed.or.th ของสถาบันพัฒนาเอสเอ็มอี เขาระบุถึงธุรกิจร้านหนังสือเช่าไว้ สรุปได้ว่า... ธุรกิจนี้จัดตั้งได้ โดยมีขั้นตอนไม่ยุ่งยากมากนัก เป็นงานอิสระที่ลงทุนเพียงครั้งเดียว แล้วก็รอทำรายได้ในระยะยาว จะทำเป็นอาชีพหลักหรืออาชีพเสริมก็ได้ แต่... ใครที่คิดจะทำธุรกิจนี้ก็จำเป็นต้องคำนึงถึงศักยภาพและคุณสมบัติที่เหมาะสมของตนเองด้วย !! ไม่ใช่แค่เพียงมีเงินทุนก็พอ
ศักยภาพและคุณสมบัติที่เหมาะสมในการทำธุรกิจ “ร้านเช่าหนังสือ” ก็เช่น... รักการอ่าน เพราะจะทำให้มีความรู้ มีความเข้าใจเกี่ยวกับหนังสือประเภทต่าง ๆ, มีเงินทุนเป็นของตนเองพอสมควร เนื่องจากการทำร้านในช่วงต้น ๆ ต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง ซึ่งถ้าผู้ที่สนใจทำ ธุรกิจมีความพร้อมด้านนี้แล้ว ก็สามารถดำเนินการขั้นต่อ ๆ ไปได้โดยไม่ ติดขัด ดังนั้น จึงจำเป็นต้องคำนึงถึงจุดนี้ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการ เปิดร้าน
มีทำเลที่ตั้งที่เหมาะสม นี่ก็สำคัญ ร้านควรอยู่ในแหล่งชุมชนที่มีกำลังซื้อ ซึ่งหากมีสถานที่เป็นของตนเองอยู่ในทำเลที่เหมาะสมด้วยก็จะดี จะทุ่นงบประมาณลงทุนได้มาก, มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีความเป็นกันเองต่อลูกค้า ไม่ว่าลูกค้าจะเป็นคนระดับใดก็ตาม ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญเท่ากันหมด, ให้บริการที่ดี และละเอียดรอบคอบ ผู้ประกอบการควรบริการลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น แนะนำหนังสือใหม่ให้ลูกค้า คิดเงิน-ทอนเงินถูกต้อง เป็นต้น ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะดึงดูดใจลูกค้าให้กลับมาใช้บริการที่ร้านอย่างต่อเนื่อง
นอกจากที่ว่ามา การทำธุรกิจนี้ยังต้องเรียนรู้ การตลาดร้านเช่าหนังสือ รู้ภาพรวมการตลาด สภาพการแข่งขัน กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ธุรกิจหลักและธุรกิจเสริม รู้ถึงส่วนผสมทางการตลาด ไม่ว่าจะเป็น...ผลิตภัณฑ์และการบริการ, การกำหนดราคาค่าบริการ, ทำเลที่ตั้งและการตกแต่งร้าน, การส่งเสริมการขายและการจูงใจลูกค้า
ต้องรู้และเข้าใจเรื่อง การดำเนินงานร้านเช่าหนังสือ เช่น... การซื้อหนังสือเข้าร้าน, การประหยัดค่าใช้จ่ายในร้าน, การนำคอมพิวเตอร์มาใช้, การบำรุงรักษาหนังสือ, การจ้างพนักงาน อีกทั้งยังต้องรู้ถึง การบริหารร้านเช่าหนังสือ อาทิ... รูปแบบการจัดองค์กร, การจัดการระบบการควบคุมดูแลภายในร้าน และที่สำคัญมากเช่นกันคือต้องรู้เรื่อง การเงินและการลงทุนร้านเช่าหนังสือ ตั้งแต่การจัดหาเงินลงทุน, โครงสร้างเงินลงทุน, ระยะเวลาการคืนทุน และในการเปิดร้าน-ทำธุรกิจ ก็จำเป็นต้องรู้เรื่องการติดต่อหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันก็ต้องรู้ เงื่อนไขและข้อจำกัดที่สำคัญ และ ปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ
ทั้งนี้ วันนี้ผมอาจจะแจงเป็นเชิงหลักการ อาจจะคล้ายกับ “SMEs ยุทธวิธีเศรษฐีใหม่” ไปบ้าง แต่ก็เพื่อให้ครบองค์เกี่ยวกับอาชีพนี้ ซึ่ง ในรายละเอียดที่ลงลึกมากกว่านี้นั้นทางสถาบันพัฒนาเอสเอ็มอีเขามีการ จัดทำเป็น หนังสือองค์ความรู้ “ธุรกิจร้านเช่าหนังสือ” ฉบับสมบูรณ์ เพื่อจำหน่ายให้กับผู้ที่สนใจ โดยติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และติดต่อ สั่งซื้อ ได้ที่... ศูนย์บริการเอสเอ็มอี โทร. 0-2564-4000 ต่อ 1111
แต่ถ้าใครต้องการเข้าอบรมโดยตรงเลย ตอนนี้ก็กำลังมีหลักสูตรรองรับ โดยในวันที่ 26-27 ก.ย. 2552 นี้ ที่เคยู โฮม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สถาบันพัฒนาเอสเอ็มอีจะจัด “อบรมหลักสูตรการทำธุรกิจ ร้านเช่าหนังสือ” ซึ่งในส่วนของการอบรมนี้ผู้ที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และสอบถามค่าธรรมเนียมการอบรม ได้ที่... คุณปัทมา โทร.0-2564-4000 ต่อ 2012-2019 หรือ 08-2450-2623
เสาร์นี้ว่ากันอาชีพเดียว...แต่ก็เต็ม ๆ ไปเลยครับ !!
(กมล คำแหง: ภาพ)
ที่มา เดลินิวส์
จากข้อมูลในเว็บไซต์ www.ismed.or.th ของสถาบันพัฒนาเอสเอ็มอี เขาระบุถึงธุรกิจร้านหนังสือเช่าไว้ สรุปได้ว่า... ธุรกิจนี้จัดตั้งได้ โดยมีขั้นตอนไม่ยุ่งยากมากนัก เป็นงานอิสระที่ลงทุนเพียงครั้งเดียว แล้วก็รอทำรายได้ในระยะยาว จะทำเป็นอาชีพหลักหรืออาชีพเสริมก็ได้ แต่... ใครที่คิดจะทำธุรกิจนี้ก็จำเป็นต้องคำนึงถึงศักยภาพและคุณสมบัติที่เหมาะสมของตนเองด้วย !! ไม่ใช่แค่เพียงมีเงินทุนก็พอ
ศักยภาพและคุณสมบัติที่เหมาะสมในการทำธุรกิจ “ร้านเช่าหนังสือ” ก็เช่น... รักการอ่าน เพราะจะทำให้มีความรู้ มีความเข้าใจเกี่ยวกับหนังสือประเภทต่าง ๆ, มีเงินทุนเป็นของตนเองพอสมควร เนื่องจากการทำร้านในช่วงต้น ๆ ต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง ซึ่งถ้าผู้ที่สนใจทำ ธุรกิจมีความพร้อมด้านนี้แล้ว ก็สามารถดำเนินการขั้นต่อ ๆ ไปได้โดยไม่ ติดขัด ดังนั้น จึงจำเป็นต้องคำนึงถึงจุดนี้ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการ เปิดร้าน
มีทำเลที่ตั้งที่เหมาะสม นี่ก็สำคัญ ร้านควรอยู่ในแหล่งชุมชนที่มีกำลังซื้อ ซึ่งหากมีสถานที่เป็นของตนเองอยู่ในทำเลที่เหมาะสมด้วยก็จะดี จะทุ่นงบประมาณลงทุนได้มาก, มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีความเป็นกันเองต่อลูกค้า ไม่ว่าลูกค้าจะเป็นคนระดับใดก็ตาม ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญเท่ากันหมด, ให้บริการที่ดี และละเอียดรอบคอบ ผู้ประกอบการควรบริการลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น แนะนำหนังสือใหม่ให้ลูกค้า คิดเงิน-ทอนเงินถูกต้อง เป็นต้น ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะดึงดูดใจลูกค้าให้กลับมาใช้บริการที่ร้านอย่างต่อเนื่อง
นอกจากที่ว่ามา การทำธุรกิจนี้ยังต้องเรียนรู้ การตลาดร้านเช่าหนังสือ รู้ภาพรวมการตลาด สภาพการแข่งขัน กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ธุรกิจหลักและธุรกิจเสริม รู้ถึงส่วนผสมทางการตลาด ไม่ว่าจะเป็น...ผลิตภัณฑ์และการบริการ, การกำหนดราคาค่าบริการ, ทำเลที่ตั้งและการตกแต่งร้าน, การส่งเสริมการขายและการจูงใจลูกค้า
ต้องรู้และเข้าใจเรื่อง การดำเนินงานร้านเช่าหนังสือ เช่น... การซื้อหนังสือเข้าร้าน, การประหยัดค่าใช้จ่ายในร้าน, การนำคอมพิวเตอร์มาใช้, การบำรุงรักษาหนังสือ, การจ้างพนักงาน อีกทั้งยังต้องรู้ถึง การบริหารร้านเช่าหนังสือ อาทิ... รูปแบบการจัดองค์กร, การจัดการระบบการควบคุมดูแลภายในร้าน และที่สำคัญมากเช่นกันคือต้องรู้เรื่อง การเงินและการลงทุนร้านเช่าหนังสือ ตั้งแต่การจัดหาเงินลงทุน, โครงสร้างเงินลงทุน, ระยะเวลาการคืนทุน และในการเปิดร้าน-ทำธุรกิจ ก็จำเป็นต้องรู้เรื่องการติดต่อหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันก็ต้องรู้ เงื่อนไขและข้อจำกัดที่สำคัญ และ ปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ
ทั้งนี้ วันนี้ผมอาจจะแจงเป็นเชิงหลักการ อาจจะคล้ายกับ “SMEs ยุทธวิธีเศรษฐีใหม่” ไปบ้าง แต่ก็เพื่อให้ครบองค์เกี่ยวกับอาชีพนี้ ซึ่ง ในรายละเอียดที่ลงลึกมากกว่านี้นั้นทางสถาบันพัฒนาเอสเอ็มอีเขามีการ จัดทำเป็น หนังสือองค์ความรู้ “ธุรกิจร้านเช่าหนังสือ” ฉบับสมบูรณ์ เพื่อจำหน่ายให้กับผู้ที่สนใจ โดยติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และติดต่อ สั่งซื้อ ได้ที่... ศูนย์บริการเอสเอ็มอี โทร. 0-2564-4000 ต่อ 1111
แต่ถ้าใครต้องการเข้าอบรมโดยตรงเลย ตอนนี้ก็กำลังมีหลักสูตรรองรับ โดยในวันที่ 26-27 ก.ย. 2552 นี้ ที่เคยู โฮม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สถาบันพัฒนาเอสเอ็มอีจะจัด “อบรมหลักสูตรการทำธุรกิจ ร้านเช่าหนังสือ” ซึ่งในส่วนของการอบรมนี้ผู้ที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และสอบถามค่าธรรมเนียมการอบรม ได้ที่... คุณปัทมา โทร.0-2564-4000 ต่อ 2012-2019 หรือ 08-2450-2623
เสาร์นี้ว่ากันอาชีพเดียว...แต่ก็เต็ม ๆ ไปเลยครับ !!
(กมล คำแหง: ภาพ)
ที่มา เดลินิวส์
'ข้าวผัดกิมจิ' ทำเลใช่..เป็นอาชีพเสริมได้ !
อาชีพขายอาหารยังเป็น “อาชีพเสริม สร้างรายได้” ยอดฮิตทุกยุคสมัย ซึ่งการจะประสบความสำเร็จ นอกจากรสมือจะต้องดีแล้ว เรื่องทำเล เรื่องการปรับตัวตามกลุ่มเป้าหมาย ก็เป็นเรื่องสำคัญไม่น้อย และกับผู้ที่เลือกขายอาหารในย่านสถานศึกษา และมีเมนูตามกระแสนิยมของลูกค้าเป้าหมาย เช่น “ข้าวผัดกิมจิ” นี่ก็น่าสนใจ...
รวมพร หมื่นอินกุล หรือ ตวง อายุ 29 ปี เจ้าของร้านอาหารตามสั่ง อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยรังสิต เล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปของการมาทำอาชีพนี้ว่า หลังจากเรียนจบก็เข้าทำงานด้านการตลาด แผนกแฟชั่น เสื้อผ้าและของใช้ผู้หญิง ทำงานอยู่เกือบ 4 ปี ก็รู้สึกเบื่อ อยากทำงานอิสระ จึงลาออก
แรก ๆ นั้น เพราะเคยทำงานด้านแฟชั่น จึงหันมาเปิดร้านขายเสื้อผ้าหลังการบินไทย ตัดเอง ออกแบบเอง ช่วงแรกขายดีมาก มีเท่าไหร่ก็หมด ธุรกิจไปได้สวยจริง ๆ แต่ขายอยู่ประมาณปีกว่า ๆ ก็ต้องปิดตัว เพราะเศรษฐกิจเริ่มไม่ดี รายได้ของร้านลดลง จากเดิมลูกค้าซื้อ 7,000 - 8,000 บาท และมาบ่อย ๆ หลัง ๆ มาเดือนละครั้งสองครั้ง ยอดซื้อเหลือ 2,000 – 3,000 บาท แล้วที่สุดก็หายหน้าไปเลย
ตวงบอกว่า เป็นคนที่คิดเร็วทำเร็ว ก็เลยเปลี่ยนแนว หาทำเลทำร้านอาหารทันที ซึ่งที่บ้านทั้งคุณแม่และคุณยายทำอาหารอร่อยมาก ตนเองจะติดกับข้าวที่บ้าน และก็เป็นคนที่ชอบกินและชอบทำอาหารด้วย ชอบดูรายการอาหารทางทีวี ดูสูตรจากอินเทอร์เน็ต และซื้อตำรามาฝึกทำ ทั้งอาหารไทย อิตาเลียน ฝรั่ง ญี่ปุ่น และเกาหลี ลองผิดลองถูกไปเรื่อย โดยมีน้องชายเป็นผู้ช่วยชิม
สำหรับร้านอาหารที่เปิดขายอยู่นี้ เปิดมาได้ประมาณ 2 เดือนแล้ว และกำลังไปได้ดีเลยทีเดียว มีน้อง ๆ นักศึกษาเข้ามาเป็นลูกค้าขาประจำจำนวนมาก ซึ่งน่าจะเป็นเพราะทางร้านเข้าใจว่านักศึกษามีความเป็นวัยรุ่น ชอบอาหารที่มีสไตล์แปลก ๆ มีเมนูผสมผสานกัน ลูกค้ากลุ่มนี้ไม่ชอบความซ้ำซากจำเจ การเปิดร้านอาหารในทำเลแบบนี้ เมนูต้องเด็ดใหม่เสมอ ขณะที่เรื่องรสชาตินั้นถ้าเป็นอาหารต่างชาติก็ต้องประยุกต์ให้ถูกปากคนไทย
รายการอาหารของทางร้าน ก็จะมีอาทิ ข้าวผัดกิมจิ, ข้าวห่อไข่-ข้าวผัดแฮม, ข้าวผัดเบคอน, ไข่เจียวแฮมชีส, คร็อกเก้แกงกะหรี่ญี่ปุ่น, คร็อกเก้ครีมซอสแฮม, ตับไก่บดกับขนมปังปิ้ง, หอยลายเนยกระเทียมกับขนมปังปิ้ง, ข้าวผัดอเมริกัน, ข้าวผัดแกงกะหรี่ญี่ปุ่น, ข้าวปลาซาบะย่างซีอิ๊ว, ข้าวผัดต้มยำไก่-ทะเล, สปาเกตตีต้มยำ-ทะเล, ข้าวผัดเนื้อเค็ม, ข้าวไข่ระเบิด, ข้าวผัดพริกขี้หนูสด, ข้าวไก่คลุกฝุ่นกระเพากรอบ, ข้าวผัดแกงเขียวหวาน ฯลฯ โดยราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่เมนูละ 30-40 บาทเท่านั้น ซึ่งกำไรก็พอให้ร้านอยู่ได้และวันนี้ตวงก็มีสูตรการทำ “ข้าวผัดกิมจิ” มาแนะนำ
การทำ “ข้าวผัดกิมจิ” นี้ เริ่มกันตั้งแต่การทำ “กิมจิ” ก่อน วัตถุดิบที่ใช้ตามสูตรก็มี... ผักกาดขาว 2 หัวใหญ่, ต้นหอม 100 กรัม, ขิง 20 กรัม, พริกชี้ฟ้าสดสีแดง 100 กรัม, กระเทียม 10 กรัม, น้ำส้มสายชู 3 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ, เกลือ และน้ำสะอาด
วิธีทำกิมจิ นำผักกาดขาว 2 หัวใหญ่ ล้างให้สะอาดแล้วผ่าครึ่ง เด็ดออกทีละใบจนหมด พักไว้ ผสมน้ำเปล่ากับเกลือ 40 กรัม ทำการคนให้เกลือละลายเป็นน้ำเกลือ ชิมรสให้ออกเค็มเล็กน้อย จากนั้นนำผักกาดขาวที่เตรียมไว้มาแช่น้ำเกลือนานประมาณ 6-8 ชั่วโมง จนผักสลด จึงนำขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำ
นำพริกชี้ฟ้าแดงสดมาผ่าเอาเม็ดออก หั่นเป็นชิ้นเล็กใส่ลงไปในครก ตามด้วยขิง กระเทียม ทำการโขลกส่วนผสมทั้งหมดให้ละเอียด ตักมาใส่อ่างผสม ปรุงรสด้วยน้ำส้มสายชู น้ำตาลทราย และเกลือป่น คนให้เข้ากันเป็นน้ำปรุงรส แล้วพักไว้ จากนั้นหั่นต้นหอมเป็นท่อนยาวประมาณ 1 นิ้ว หั่นผักกาดขาวที่เตรียมไว้เป็นชิ้นพอคำ แล้วนำต้นหอม ผักกาดขาว และน้ำปรุงรส มาคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วหมักทิ้งไว้ประมาณ 3-4 วัน ก็เป็นอันใช้ได้
การจะทำข้าวผัดกิมจิ วัตถุดิบหลัก ๆ ก็มี... ข้าวสวย, เนื้อหมูหรือเนื้อไก่หั่นเป็นชิ้น, เนย, น้ำมันหอย, น้ำตาลนิดหน่อย และขาดไม่ได้คือกิมจิ
วิธีทำ “ข้าวผัดกิมจิ” เริ่มจากนำเนื้อหมูหรือเนื้อไก่ผัดกับเนยให้สุกและหอม ปรุงรสด้วยน้ำมันหอยและน้ำตาลนิดหน่อย จากนั้นก็นำกิมจิมาใส่ ใช้ไฟแรงผัดไปมา 3-4 ครั้ง ก็ตักราดบนข้าวสวยร้อน ๆ พร้อมเสิร์ฟ ซึ่งร้านนี้เขาจะไม่นำข้าวลงผัดคลุก จะใช้วิธีราดเครื่องลงบนข้าวเพื่อความสวยงาม แต่ก็เรียกชื่อเมนูเป็นข้าวผัด
ร้านของตวงอยู่ข้าง ๆ มหาวิทยาลัยรังสิต ถ้ามาจากหมู่บ้านเมืองเอกวิ่งตรงมาตลอด ให้สังเกตร้านจะอยู่ติดกับร้านอินเทอร์เน็ตและร้านก๋วยเตี๋ยวโบราณ เปิดขายทุกวันตั้งแต่เวลา 9 โมงเช้าไปจนถึง 2 ทุ่ม ใครอยากไปลองชิม ถ้าหาร้านไม่เจอสอบถามได้ที่ โทร.08-1925 -1171 ซึ่งร้านนี้ก็เป็นอีกกรณีศึกษาที่น่าสนเช่นกัน !!
เชาวลี ชุมขำ :รายงาน / จเร รัตนราตรี :ภาพ
ที่มา เดลินิวส์
รวมพร หมื่นอินกุล หรือ ตวง อายุ 29 ปี เจ้าของร้านอาหารตามสั่ง อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยรังสิต เล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปของการมาทำอาชีพนี้ว่า หลังจากเรียนจบก็เข้าทำงานด้านการตลาด แผนกแฟชั่น เสื้อผ้าและของใช้ผู้หญิง ทำงานอยู่เกือบ 4 ปี ก็รู้สึกเบื่อ อยากทำงานอิสระ จึงลาออก
แรก ๆ นั้น เพราะเคยทำงานด้านแฟชั่น จึงหันมาเปิดร้านขายเสื้อผ้าหลังการบินไทย ตัดเอง ออกแบบเอง ช่วงแรกขายดีมาก มีเท่าไหร่ก็หมด ธุรกิจไปได้สวยจริง ๆ แต่ขายอยู่ประมาณปีกว่า ๆ ก็ต้องปิดตัว เพราะเศรษฐกิจเริ่มไม่ดี รายได้ของร้านลดลง จากเดิมลูกค้าซื้อ 7,000 - 8,000 บาท และมาบ่อย ๆ หลัง ๆ มาเดือนละครั้งสองครั้ง ยอดซื้อเหลือ 2,000 – 3,000 บาท แล้วที่สุดก็หายหน้าไปเลย
ตวงบอกว่า เป็นคนที่คิดเร็วทำเร็ว ก็เลยเปลี่ยนแนว หาทำเลทำร้านอาหารทันที ซึ่งที่บ้านทั้งคุณแม่และคุณยายทำอาหารอร่อยมาก ตนเองจะติดกับข้าวที่บ้าน และก็เป็นคนที่ชอบกินและชอบทำอาหารด้วย ชอบดูรายการอาหารทางทีวี ดูสูตรจากอินเทอร์เน็ต และซื้อตำรามาฝึกทำ ทั้งอาหารไทย อิตาเลียน ฝรั่ง ญี่ปุ่น และเกาหลี ลองผิดลองถูกไปเรื่อย โดยมีน้องชายเป็นผู้ช่วยชิม
สำหรับร้านอาหารที่เปิดขายอยู่นี้ เปิดมาได้ประมาณ 2 เดือนแล้ว และกำลังไปได้ดีเลยทีเดียว มีน้อง ๆ นักศึกษาเข้ามาเป็นลูกค้าขาประจำจำนวนมาก ซึ่งน่าจะเป็นเพราะทางร้านเข้าใจว่านักศึกษามีความเป็นวัยรุ่น ชอบอาหารที่มีสไตล์แปลก ๆ มีเมนูผสมผสานกัน ลูกค้ากลุ่มนี้ไม่ชอบความซ้ำซากจำเจ การเปิดร้านอาหารในทำเลแบบนี้ เมนูต้องเด็ดใหม่เสมอ ขณะที่เรื่องรสชาตินั้นถ้าเป็นอาหารต่างชาติก็ต้องประยุกต์ให้ถูกปากคนไทย
รายการอาหารของทางร้าน ก็จะมีอาทิ ข้าวผัดกิมจิ, ข้าวห่อไข่-ข้าวผัดแฮม, ข้าวผัดเบคอน, ไข่เจียวแฮมชีส, คร็อกเก้แกงกะหรี่ญี่ปุ่น, คร็อกเก้ครีมซอสแฮม, ตับไก่บดกับขนมปังปิ้ง, หอยลายเนยกระเทียมกับขนมปังปิ้ง, ข้าวผัดอเมริกัน, ข้าวผัดแกงกะหรี่ญี่ปุ่น, ข้าวปลาซาบะย่างซีอิ๊ว, ข้าวผัดต้มยำไก่-ทะเล, สปาเกตตีต้มยำ-ทะเล, ข้าวผัดเนื้อเค็ม, ข้าวไข่ระเบิด, ข้าวผัดพริกขี้หนูสด, ข้าวไก่คลุกฝุ่นกระเพากรอบ, ข้าวผัดแกงเขียวหวาน ฯลฯ โดยราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่เมนูละ 30-40 บาทเท่านั้น ซึ่งกำไรก็พอให้ร้านอยู่ได้และวันนี้ตวงก็มีสูตรการทำ “ข้าวผัดกิมจิ” มาแนะนำ
การทำ “ข้าวผัดกิมจิ” นี้ เริ่มกันตั้งแต่การทำ “กิมจิ” ก่อน วัตถุดิบที่ใช้ตามสูตรก็มี... ผักกาดขาว 2 หัวใหญ่, ต้นหอม 100 กรัม, ขิง 20 กรัม, พริกชี้ฟ้าสดสีแดง 100 กรัม, กระเทียม 10 กรัม, น้ำส้มสายชู 3 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ, เกลือ และน้ำสะอาด
วิธีทำกิมจิ นำผักกาดขาว 2 หัวใหญ่ ล้างให้สะอาดแล้วผ่าครึ่ง เด็ดออกทีละใบจนหมด พักไว้ ผสมน้ำเปล่ากับเกลือ 40 กรัม ทำการคนให้เกลือละลายเป็นน้ำเกลือ ชิมรสให้ออกเค็มเล็กน้อย จากนั้นนำผักกาดขาวที่เตรียมไว้มาแช่น้ำเกลือนานประมาณ 6-8 ชั่วโมง จนผักสลด จึงนำขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำ
นำพริกชี้ฟ้าแดงสดมาผ่าเอาเม็ดออก หั่นเป็นชิ้นเล็กใส่ลงไปในครก ตามด้วยขิง กระเทียม ทำการโขลกส่วนผสมทั้งหมดให้ละเอียด ตักมาใส่อ่างผสม ปรุงรสด้วยน้ำส้มสายชู น้ำตาลทราย และเกลือป่น คนให้เข้ากันเป็นน้ำปรุงรส แล้วพักไว้ จากนั้นหั่นต้นหอมเป็นท่อนยาวประมาณ 1 นิ้ว หั่นผักกาดขาวที่เตรียมไว้เป็นชิ้นพอคำ แล้วนำต้นหอม ผักกาดขาว และน้ำปรุงรส มาคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วหมักทิ้งไว้ประมาณ 3-4 วัน ก็เป็นอันใช้ได้
การจะทำข้าวผัดกิมจิ วัตถุดิบหลัก ๆ ก็มี... ข้าวสวย, เนื้อหมูหรือเนื้อไก่หั่นเป็นชิ้น, เนย, น้ำมันหอย, น้ำตาลนิดหน่อย และขาดไม่ได้คือกิมจิ
วิธีทำ “ข้าวผัดกิมจิ” เริ่มจากนำเนื้อหมูหรือเนื้อไก่ผัดกับเนยให้สุกและหอม ปรุงรสด้วยน้ำมันหอยและน้ำตาลนิดหน่อย จากนั้นก็นำกิมจิมาใส่ ใช้ไฟแรงผัดไปมา 3-4 ครั้ง ก็ตักราดบนข้าวสวยร้อน ๆ พร้อมเสิร์ฟ ซึ่งร้านนี้เขาจะไม่นำข้าวลงผัดคลุก จะใช้วิธีราดเครื่องลงบนข้าวเพื่อความสวยงาม แต่ก็เรียกชื่อเมนูเป็นข้าวผัด
ร้านของตวงอยู่ข้าง ๆ มหาวิทยาลัยรังสิต ถ้ามาจากหมู่บ้านเมืองเอกวิ่งตรงมาตลอด ให้สังเกตร้านจะอยู่ติดกับร้านอินเทอร์เน็ตและร้านก๋วยเตี๋ยวโบราณ เปิดขายทุกวันตั้งแต่เวลา 9 โมงเช้าไปจนถึง 2 ทุ่ม ใครอยากไปลองชิม ถ้าหาร้านไม่เจอสอบถามได้ที่ โทร.08-1925 -1171 ซึ่งร้านนี้ก็เป็นอีกกรณีศึกษาที่น่าสนเช่นกัน !!
เชาวลี ชุมขำ :รายงาน / จเร รัตนราตรี :ภาพ
ที่มา เดลินิวส์
'ตู้เสื้อผ้าตุ๊กตา' จับกระแสเป็นอาชีพเสริม...
งานไม้เพ้นท์สี งานฝีมือประเภทนี้ตลาดยังไปได้ ขอเพียงจับจุดลูกค้าถูก สามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายที่ตรงกับสินค้าได้ ก็สามารถจะเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ดีได้ อย่างเช่นงานประดิษฐ์ “ตู้เสื้อผ้าตุ๊กตา” ที่เน้นจับกลุ่มคนรัก “ตุ๊กตาบลายธ์” ซึ่งกำลังฮอตฮิตขณะนี้ นี่ก็เป็นอีกรูปแบบอาชีพที่น่าสนใจ...
ศศินันท์ โรจนัชยานนท์ เดิมทีทำงานเป็นพนักงานบริษัท แต่มักจะหาเวลาว่างไปอบรมการเพ้นท์สีเริ่มจากทำชิ้นงานเป็นงานอดิเรก ต่อมาเพื่อนและคนรู้จักเห็นผลงานก็แนะนำว่าน่าจะทำจำหน่าย จึงทดลองทำโดยฝากขายตามร้านที่รู้จักที่ตลาดนัดสวนจตุจักร ระยะแรกงานจะเป็นแนวคันทรี่และวินเทจ เน้นสีสันลวดลายที่ดูอ่อนหวาน ต่อมาเห็นว่ากระแสความนิยมตุ๊กตาบลายธ์ (Blythe) กำลังมาแรง แต่ของตกแต่งหรืออุปกรณ์ที่มีอยู่ในตลาดค่อนข้างมีราคาสูงและเป็นงานพลาสติกที่มีรูปแบบไม่คงทนและไม่สมจริง จึงคิดว่า “งานไม้เพ้นท์สี” ที่ทำอยู่สามารถดัดแปลงเพื่อให้เข้ากับความต้องการลูกค้าได้ จึงทดลองทำ และก็ได้การตอบรับดี ต่อมาจึงตัดสินใจหันมาจับอาชีพผลิตงานนี้อย่างเต็มตัว โดยเริ่มทำมาได้ประมาณ 1 ปีแล้ว
ปัจจุบันนอกจากวางขายปกติแล้ว ยังมีร้านจำหน่ายสินค้าทางอินเทอร์เน็ตอยู่ใน 2 เว็บไซต์ คือ www.sweetcountryshop.com และ www.boszyshop.com โดยลูกค้าส่วนใหญ่จะเข้าชมสินค้าก่อนตัดสินใจสั่งซื้อ ซึ่งช่องทางนี้เหมาะกับคนที่มีผลงาน แต่มีทุนไม่มากพอที่จะเปิดร้าน
“ผลงานระยะแรก ๆ ที่ทำ ก็จะเป็นงานประเภทกล่องไม้ ที่แขวนกุญแจ ตู้ใส่ของกระจุกกระจิกสำหรับผู้หญิง จึงคิดว่าถ้านำมาดัดแปลงโดยเพิ่มรายละเอียด อาทิ ลูกบิด ลิ้นชัก ราวแขวนเสื้อผ้า ให้ดูเป็นงานเฟอร์นิเจอร์จำลองที่ย่อส่วนลงมา ลูกค้าที่ชอบตุ๊กตาน่าจะชอบ จึงเริ่มผลิตงาน ซึ่งก็ได้รับการตอบรับอย่างดี”
เจ้าของผลงานบอกว่า นอกจากชิ้นงานที่ทำสำเร็จรูปแล้ว ยังมีลูกค้าที่มีความต้องการเฉพาะ จึงมีรายได้อีกทางจากการรับทำชิ้นงานตามคำสั่งซื้อหรือความต้องการของลูกค้า และยังมีลูกค้ากลุ่มที่นำไปใช้ตกแต่งบ้านและร้านค้า เรียกได้ว่ามีกลุ่มลูกค้าค่อนข้างกว้าง ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ลูกค้ากลุ่มสะสมตุ๊กตาเท่านั้น
สำหรับ “ตู้เสื้อผ้าตุ๊กตาบลายธ์” ที่ทำนั้น ที่เป็นชิ้นงานสำเร็จรูปจะมีขนาดมาตรฐานคือ กว้าง 29.5 x ยาว 15 x สูง 39 เซนติเมตร ส่วนลวดลายที่นิยมก็จะเป็นลายดอกกุหลาบ, ลายผ้าต่อ และลายน้องหมี เป็นต้น โดยราคาจำหน่ายคือชิ้นละ 600 บาท ไปจนถึง 4,500 บาท ขึ้นกับรายละเอียดความยากง่าย ซึ่งถึงแม้ราคาจะดูว่าสูง แต่ลูกค้ากลุ่มนี้ก็มีกำลังซื้อสูง เรื่องราคาจึงไม่ใช่ปัญหา ขอเพียงรูปแบบดี-มีคุณภาพ
การทำชิ้นงานประเภทนี้จำหน่าย ทุนเบื้องต้นใช้งบประมาณ 20,000 บาท โดยส่วนใหญ่จะเป็นค่าอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ อาทิ เครื่องตัดไม้, เครื่องมือสำหรับใช้ในงานช่างไม้ เช่น เลื่อยไฟฟ้า ปืนยิงกาวซิลิโคน ค้อน ตะปู สิ่ว และพู่กัน หลาย ๆ เบอร์ ทั้งชนิดหัวกลมและหัวแบน
ส่วนทุนวัสดุต่อชิ้นงานจะอยู่ที่ประมาณ 70% ของราคาขาย
วัสดุที่ต้องใช้ในการทำตู้เสื้อผ้าตุ๊กตา หลัก ๆ ก็มี สีอะครีลิก, กระดาษทราย, น้ำยาเคลือบ (หรือน้ำยาโพลียูริเทน สำหรับเคลือบเนื้อไม้), ไม้เอ็มดีเอฟ (หรือไม้อัดสังเคราะห์วัสดุผสม), ท่ออลูมิเนียม (สำหรับทำราวและชั้นวางในตู้เสื้อผ้า), ไม้เนื้ออ่อน, กระจก, ลูกบิด และบานพับ เป็นต้น
ขั้นตอนการทำ อาจจะมีรายละเอียดแตกต่างกันเล็กน้อยในแต่ละชิ้นงาน แต่จะมีวิธีการเหมือนกับการทำกล่องไม้ใส่ของกระจุกกระจิก ขั้นตอนหลัก ๆ คือ เริ่มจากการร่างแบบ โดยอาจใช้วิธีวาดแบบชิ้นงานที่ต้องการไว้ก่อน จากนั้นนำไม้ที่เตรียมไว้มาตัดตามแบบที่ร่างไว้ตามส่วนประกอบต่าง ๆ อาทิ บานประตูตู้, ฝาตู้, ชั้นวาง, ลิ้นชัก จากนั้นนำมาประกอบขึ้นรูปโดยยึดเข้าด้วยกันด้วยน็อตหรือตะปูเล็ก ขั้นตอนนี้ถือว่าสำคัญเพราะต้องอาศัยความใจเย็นและมือเบาที่สุด เพราะหากตอกแรงเนื้อไม้อาจแตกและทำให้ชิ้นงานเสียหายได้
จากนั้นทำการขัดผิวให้เรียบด้วยกระดาษทราย และทำการอุดรูตามเนื้อไม้ เสร็จแล้วให้ทำการทาสีรองพื้นซ้ำ ๆ หลายครั้ง เพื่อให้ได้สีพื้นตามต้องการ หรือจนกว่าจะไม่เห็นลายไม้ ทิ้งไว้แห้ง เมื่อแห้งแล้วจึงทำการลงลวดลายตามที่ได้ออกแบบไว้ เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำตู้เสื้อผ้าตุ๊กตา
“ขั้นตอนมีไม่มาก แต่ทุกขั้นตอนต้องอาศัยความชำนาญ ชิ้นงานแต่ละชิ้นต้องใช้เวลาทำค่อนข้างนาน เพราะต้องใช้ความประณีตและต้องใจเย็น ๆ แต่ก็ไม่ยาก หากฝึกฝนอยู่เป็นประจำ” เจ้าของงานกล่าว
ศศินันท์ปักหลักทำ “ตู้เสื้อผ้าตุ๊กตา” อยู่ที่ 245/12 ม.3 ต.บ้านสวน อ.เมือง จ.ชลบุรี โทร.08-1567-9961, 08-6387-7121 ใครสนใจผลงานก็คลิกเข้าไปดูได้ในเว็บไซต์ที่บอกไว้แล้วข้างต้น ซึ่งนี่ก็เป็นอีกชิ้นงานที่เด่นทั้งเรื่องไอเดียและการ “สร้างโอกาสจากกระแส” ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจไม่น้อย !!
ศิริโรจน์ ศิริแพทย์:รายงาน
ศศินันท์ โรจนัชยานนท์ เดิมทีทำงานเป็นพนักงานบริษัท แต่มักจะหาเวลาว่างไปอบรมการเพ้นท์สีเริ่มจากทำชิ้นงานเป็นงานอดิเรก ต่อมาเพื่อนและคนรู้จักเห็นผลงานก็แนะนำว่าน่าจะทำจำหน่าย จึงทดลองทำโดยฝากขายตามร้านที่รู้จักที่ตลาดนัดสวนจตุจักร ระยะแรกงานจะเป็นแนวคันทรี่และวินเทจ เน้นสีสันลวดลายที่ดูอ่อนหวาน ต่อมาเห็นว่ากระแสความนิยมตุ๊กตาบลายธ์ (Blythe) กำลังมาแรง แต่ของตกแต่งหรืออุปกรณ์ที่มีอยู่ในตลาดค่อนข้างมีราคาสูงและเป็นงานพลาสติกที่มีรูปแบบไม่คงทนและไม่สมจริง จึงคิดว่า “งานไม้เพ้นท์สี” ที่ทำอยู่สามารถดัดแปลงเพื่อให้เข้ากับความต้องการลูกค้าได้ จึงทดลองทำ และก็ได้การตอบรับดี ต่อมาจึงตัดสินใจหันมาจับอาชีพผลิตงานนี้อย่างเต็มตัว โดยเริ่มทำมาได้ประมาณ 1 ปีแล้ว
ปัจจุบันนอกจากวางขายปกติแล้ว ยังมีร้านจำหน่ายสินค้าทางอินเทอร์เน็ตอยู่ใน 2 เว็บไซต์ คือ www.sweetcountryshop.com และ www.boszyshop.com โดยลูกค้าส่วนใหญ่จะเข้าชมสินค้าก่อนตัดสินใจสั่งซื้อ ซึ่งช่องทางนี้เหมาะกับคนที่มีผลงาน แต่มีทุนไม่มากพอที่จะเปิดร้าน
“ผลงานระยะแรก ๆ ที่ทำ ก็จะเป็นงานประเภทกล่องไม้ ที่แขวนกุญแจ ตู้ใส่ของกระจุกกระจิกสำหรับผู้หญิง จึงคิดว่าถ้านำมาดัดแปลงโดยเพิ่มรายละเอียด อาทิ ลูกบิด ลิ้นชัก ราวแขวนเสื้อผ้า ให้ดูเป็นงานเฟอร์นิเจอร์จำลองที่ย่อส่วนลงมา ลูกค้าที่ชอบตุ๊กตาน่าจะชอบ จึงเริ่มผลิตงาน ซึ่งก็ได้รับการตอบรับอย่างดี”
เจ้าของผลงานบอกว่า นอกจากชิ้นงานที่ทำสำเร็จรูปแล้ว ยังมีลูกค้าที่มีความต้องการเฉพาะ จึงมีรายได้อีกทางจากการรับทำชิ้นงานตามคำสั่งซื้อหรือความต้องการของลูกค้า และยังมีลูกค้ากลุ่มที่นำไปใช้ตกแต่งบ้านและร้านค้า เรียกได้ว่ามีกลุ่มลูกค้าค่อนข้างกว้าง ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ลูกค้ากลุ่มสะสมตุ๊กตาเท่านั้น
สำหรับ “ตู้เสื้อผ้าตุ๊กตาบลายธ์” ที่ทำนั้น ที่เป็นชิ้นงานสำเร็จรูปจะมีขนาดมาตรฐานคือ กว้าง 29.5 x ยาว 15 x สูง 39 เซนติเมตร ส่วนลวดลายที่นิยมก็จะเป็นลายดอกกุหลาบ, ลายผ้าต่อ และลายน้องหมี เป็นต้น โดยราคาจำหน่ายคือชิ้นละ 600 บาท ไปจนถึง 4,500 บาท ขึ้นกับรายละเอียดความยากง่าย ซึ่งถึงแม้ราคาจะดูว่าสูง แต่ลูกค้ากลุ่มนี้ก็มีกำลังซื้อสูง เรื่องราคาจึงไม่ใช่ปัญหา ขอเพียงรูปแบบดี-มีคุณภาพ
การทำชิ้นงานประเภทนี้จำหน่าย ทุนเบื้องต้นใช้งบประมาณ 20,000 บาท โดยส่วนใหญ่จะเป็นค่าอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ อาทิ เครื่องตัดไม้, เครื่องมือสำหรับใช้ในงานช่างไม้ เช่น เลื่อยไฟฟ้า ปืนยิงกาวซิลิโคน ค้อน ตะปู สิ่ว และพู่กัน หลาย ๆ เบอร์ ทั้งชนิดหัวกลมและหัวแบน
ส่วนทุนวัสดุต่อชิ้นงานจะอยู่ที่ประมาณ 70% ของราคาขาย
วัสดุที่ต้องใช้ในการทำตู้เสื้อผ้าตุ๊กตา หลัก ๆ ก็มี สีอะครีลิก, กระดาษทราย, น้ำยาเคลือบ (หรือน้ำยาโพลียูริเทน สำหรับเคลือบเนื้อไม้), ไม้เอ็มดีเอฟ (หรือไม้อัดสังเคราะห์วัสดุผสม), ท่ออลูมิเนียม (สำหรับทำราวและชั้นวางในตู้เสื้อผ้า), ไม้เนื้ออ่อน, กระจก, ลูกบิด และบานพับ เป็นต้น
ขั้นตอนการทำ อาจจะมีรายละเอียดแตกต่างกันเล็กน้อยในแต่ละชิ้นงาน แต่จะมีวิธีการเหมือนกับการทำกล่องไม้ใส่ของกระจุกกระจิก ขั้นตอนหลัก ๆ คือ เริ่มจากการร่างแบบ โดยอาจใช้วิธีวาดแบบชิ้นงานที่ต้องการไว้ก่อน จากนั้นนำไม้ที่เตรียมไว้มาตัดตามแบบที่ร่างไว้ตามส่วนประกอบต่าง ๆ อาทิ บานประตูตู้, ฝาตู้, ชั้นวาง, ลิ้นชัก จากนั้นนำมาประกอบขึ้นรูปโดยยึดเข้าด้วยกันด้วยน็อตหรือตะปูเล็ก ขั้นตอนนี้ถือว่าสำคัญเพราะต้องอาศัยความใจเย็นและมือเบาที่สุด เพราะหากตอกแรงเนื้อไม้อาจแตกและทำให้ชิ้นงานเสียหายได้
จากนั้นทำการขัดผิวให้เรียบด้วยกระดาษทราย และทำการอุดรูตามเนื้อไม้ เสร็จแล้วให้ทำการทาสีรองพื้นซ้ำ ๆ หลายครั้ง เพื่อให้ได้สีพื้นตามต้องการ หรือจนกว่าจะไม่เห็นลายไม้ ทิ้งไว้แห้ง เมื่อแห้งแล้วจึงทำการลงลวดลายตามที่ได้ออกแบบไว้ เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำตู้เสื้อผ้าตุ๊กตา
“ขั้นตอนมีไม่มาก แต่ทุกขั้นตอนต้องอาศัยความชำนาญ ชิ้นงานแต่ละชิ้นต้องใช้เวลาทำค่อนข้างนาน เพราะต้องใช้ความประณีตและต้องใจเย็น ๆ แต่ก็ไม่ยาก หากฝึกฝนอยู่เป็นประจำ” เจ้าของงานกล่าว
ศศินันท์ปักหลักทำ “ตู้เสื้อผ้าตุ๊กตา” อยู่ที่ 245/12 ม.3 ต.บ้านสวน อ.เมือง จ.ชลบุรี โทร.08-1567-9961, 08-6387-7121 ใครสนใจผลงานก็คลิกเข้าไปดูได้ในเว็บไซต์ที่บอกไว้แล้วข้างต้น ซึ่งนี่ก็เป็นอีกชิ้นงานที่เด่นทั้งเรื่องไอเดียและการ “สร้างโอกาสจากกระแส” ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจไม่น้อย !!
ศิริโรจน์ ศิริแพทย์:รายงาน
'น้ำพริกแกงมัสมั่น'ทำขายรายได้รวยแน่
“น้ำพริกแกง” เป็นสิ่งที่อยู่คู่ครัวคนไทยมาช้านานแล้ว เป็นความภาคภูมิใจของคนไทยที่บรรพบุรุษรุ่นเก่าก่อนได้สร้างสรรค์อาหารจากการผสมผสานพืชพรรณต่าง ๆ ที่มีความหลากหลายในท้องถิ่น และในยุคต่อ ๆ มาจนวันนี้ อาชีพ “ขายน้ำพริกแกง” ก็เป็นอีกหนึ่ง “อาชีพเสริม สร้างรายได้” ที่ไม่ควรมองข้าม...
“บุญธรรม อุตเดช” หรือ “ยายบุญธรรม” เป็นเจ้าของร้านน้ำพริกแกงสำเร็จรูปแม่บุญธรรม ตลาดท่าน้ำนนทบุรี เจ้าของร้านนี้เล่าให้ฟังว่าก่อนจะมามีอาชีพทำน้ำพริกแกงขายเคยทำงานทอผ้า และขายผัก ซึ่งเพราะความที่เป็นคนชอบกิน ชอบทำ แล้วก็ชิมพวกแกงทุกชนิด เวลาไปทำบุญที่วัดทุกครั้งก็จะถือโอกาสชิมแกงที่วัดนั้น ๆ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง กระทั่งวันหนึ่งได้เจอกับเจ้าตำรับน้ำพริกแกง ชื่อ “แม่พวง” เป็นแม่ครัวของหลวงพ่อโอภาศรี วัดตลาดบางซื่อ ซึ่งเป็นแม่ของเพื่อน ซึ่งท่านทำแกงอะไร ๆ ก็อร่อย
“ทำให้เราต้องเดินทางมาที่วัดนี้บ่อย ๆ เพื่อมากินแกง แล้ววันหนึ่งก็บอกแม่พวงไปว่าสนใจอยากทำแกงได้อร่อยเหมือนของท่าน ต้องทำยังไงบ้าง แม่พวงท่านเห็นความตั้งใจของเรา ก็สอนให้โดยไม่หวงวิชาเลย สอนตั้งแต่การเลือกสมุนไพร เครื่องเทศ ส่วนผสมของแกง รวมถึงรสชาติของแกงแต่ละชนิดว่าควรเป็นอย่างไร ซึ่งสูตรส่วนผสมเครื่องแกงที่แม่พวงให้มานั้นเป็นแบบครกต่อครก”
จากนั้นก็นำสูตรที่ได้มาทดลองทำทีละอย่าง จนทุกอย่างเข้าที่ และก็อยากจะทำน้ำพริกแกงขาย เพื่อให้ทุกคนได้กินแกงที่อร่อย แต่ก็ต้องมากะสูตรต่อครกใหม่ ซึ่งใช้เวลานานประมาณ 2 ปีกว่าทุกสิ่งจะเริ่มลงตัว
สถานที่ซื้อวัตถุดิบมาทำ ก็ไม่ควรมองข้าม ซึ่งเจ้านี้เขาโชคดีตรงที่ร้านอยู่ในตลาดสดอยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหาเรื่องแหล่งวัตถุดิบ
น้ำพริกแกงร้านแม่บุญธรรมมีหลายอย่าง เช่น... น้ำพริกผัดพริกขิง, น้ำพริกแกงมัสมั่น, น้ำพริกแกงเผ็ด, น้ำพริกผัดเผ็ด, น้ำพริกแกงส้ม, น้ำพริกแกงเหลือง, น้ำพริกแกงกระหรี่, น้ำพริกแกงพะแนง, น้ำพริกแกงเผ็ด, น้ำพริกแกงไตปลา, น้ำพริกแกงเผ็ดใต้, น้ำพริกแกงเขียวหวาน, น้ำพริกเผา แต่ละอย่างราคาไม่แพง ราคาขาย กก.ละ 60-70 บาท นอกจากนี้ก็มีกะปิอย่างดีจากหลายจังหวัดที่มีชื่อด้านความอร่อย มาขายด้วย
ยายบุญธรรมบอกว่า คนขายสินค้าประเภทนี้ ต้องสามารถกะสัดส่วนของส่วนผสมแกงต่าง ๆ ให้กับลูกค้าได้ด้วย ทั้งเนื้อ น้ำพริกแกง และกะทิ รวมทั้งวิธีทำแบบคร่าว ๆ ด้วย
สำหรับอาชีพขาย “น้ำพริกแกง” นี้ อุปกรณ์ที่ใช้หลัก ๆ ก็มี... เครื่องบด หรือครก, กะละมัง, ทัพพี, กระทะ, ตะหลิว, เขียง, มีด เป็นต้น
ขณะที่ส่วนผสมน้ำพริกแกงต่าง ๆ ก็มีอาทิ... พริกแห้งเม็ดใหญ่ (พริกชี้ฟ้าแห้ง), หอมแดง, กระเทียม, ตะไคร้หั่นฝอย, ขาหั่นเป็นแว่น ๆ, รากผักชีหั่น, เกลือป่น, พริกไทย, ลูกจันทร์, ดอกจันทร์, เมล็ดผักชี, กานพลู, อบเชย, ลูกกระวาน, ยี่หร่า, เกลือ, น้ำมันพืช เป็นต้น
ร้านน้ำพริกแกง “ยายบุญธรรม” มีน้ำพริกแกงขึ้นชื่อหลายอย่าง เช่น “น้ำพริกแกงมัสมั่น”
ขั้นตอนการทำ “น้ำพริกแกงมัสมั่น” ยายบุญธรรมเปิดเผยว่า เริ่มจากผ่าพริกแห้งเอาเมล็ดออกทิ้ง แล้วหั่นหยาบ ๆ แช่น้ำทิ้งไว้สักครู่ เพื่อให้พริกแห้งนุ่ม เสร็จแล้วใช้มือบีบน้ำออก ใส่ภาชนะเตรียมไว้
จากนั้นนำพริกแห้งที่เตรียมไว้ใส่ครก ตามด้วยข่าหั่น ตะไคร้หั่น พริกไทย กระเทียม หอมแดง รากผักชีและเกลือป่น โขลกจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน พักไว้
ทำการคั่วพริกไทย ลูกจันทร์ ดอกจันทร์ เมล็ดผักชี ยี่หร่า ลูกกระวาน กานพลู และอบเชย ให้หอมเหลือง แล้วโขลกรวมกันให้ละเอียด จากนั้นตักขึ้นพักไว้ ก่อนจะนำไปโขลกรวมกับส่วนผสมของพริกให้เข้ากันดี แล้วนำไปผัดในน้ำมัน ใช่ไฟปานกลาง ผัดไปเรื่อย ๆ จนน้ำพริกมีกลิ่นหอม เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
ยายบุญธรรมบอกอีกว่า น้ำพริกแกงที่ร้านจะมีเอกลักษณ์ซึ่งทำให้มีลูกค้าประจำมาก คือจะมีกลิ่นหอมโชย รสชาติเข้มข้น และใช้สมุนไพรที่มีการเลือกสรรมาอย่างดี
ร้านน้ำพริกแม่บุญธรรมอยู่ในตลาดท่าน้ำนนทบุรี เปิดร้านตั้งแต่ตี 4 จนถึง 6 โมงเย็น ใครต้องการรับน้ำพริกแกงไปขายต่อ ก็ติดต่อสอบถามได้ที่ โทร.0-2526-7297, 0-2525-1403 ทั้งนี้ อาชีพ “ขายน้ำพริกแกง” นั้นทำเงินแบบไม่ธรรมดาได้...ถ้ามีสูตรเด็ด ใครพอมีฝีมือทางนี้ก็ลองหาสูตรมาฝึกฝน-หาทำเลขายกันดู
เชาวลี ชุมขำ :รายงาน / จเร รัตนราตรี :ภาพ
“บุญธรรม อุตเดช” หรือ “ยายบุญธรรม” เป็นเจ้าของร้านน้ำพริกแกงสำเร็จรูปแม่บุญธรรม ตลาดท่าน้ำนนทบุรี เจ้าของร้านนี้เล่าให้ฟังว่าก่อนจะมามีอาชีพทำน้ำพริกแกงขายเคยทำงานทอผ้า และขายผัก ซึ่งเพราะความที่เป็นคนชอบกิน ชอบทำ แล้วก็ชิมพวกแกงทุกชนิด เวลาไปทำบุญที่วัดทุกครั้งก็จะถือโอกาสชิมแกงที่วัดนั้น ๆ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง กระทั่งวันหนึ่งได้เจอกับเจ้าตำรับน้ำพริกแกง ชื่อ “แม่พวง” เป็นแม่ครัวของหลวงพ่อโอภาศรี วัดตลาดบางซื่อ ซึ่งเป็นแม่ของเพื่อน ซึ่งท่านทำแกงอะไร ๆ ก็อร่อย
“ทำให้เราต้องเดินทางมาที่วัดนี้บ่อย ๆ เพื่อมากินแกง แล้ววันหนึ่งก็บอกแม่พวงไปว่าสนใจอยากทำแกงได้อร่อยเหมือนของท่าน ต้องทำยังไงบ้าง แม่พวงท่านเห็นความตั้งใจของเรา ก็สอนให้โดยไม่หวงวิชาเลย สอนตั้งแต่การเลือกสมุนไพร เครื่องเทศ ส่วนผสมของแกง รวมถึงรสชาติของแกงแต่ละชนิดว่าควรเป็นอย่างไร ซึ่งสูตรส่วนผสมเครื่องแกงที่แม่พวงให้มานั้นเป็นแบบครกต่อครก”
จากนั้นก็นำสูตรที่ได้มาทดลองทำทีละอย่าง จนทุกอย่างเข้าที่ และก็อยากจะทำน้ำพริกแกงขาย เพื่อให้ทุกคนได้กินแกงที่อร่อย แต่ก็ต้องมากะสูตรต่อครกใหม่ ซึ่งใช้เวลานานประมาณ 2 ปีกว่าทุกสิ่งจะเริ่มลงตัว
สถานที่ซื้อวัตถุดิบมาทำ ก็ไม่ควรมองข้าม ซึ่งเจ้านี้เขาโชคดีตรงที่ร้านอยู่ในตลาดสดอยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหาเรื่องแหล่งวัตถุดิบ
น้ำพริกแกงร้านแม่บุญธรรมมีหลายอย่าง เช่น... น้ำพริกผัดพริกขิง, น้ำพริกแกงมัสมั่น, น้ำพริกแกงเผ็ด, น้ำพริกผัดเผ็ด, น้ำพริกแกงส้ม, น้ำพริกแกงเหลือง, น้ำพริกแกงกระหรี่, น้ำพริกแกงพะแนง, น้ำพริกแกงเผ็ด, น้ำพริกแกงไตปลา, น้ำพริกแกงเผ็ดใต้, น้ำพริกแกงเขียวหวาน, น้ำพริกเผา แต่ละอย่างราคาไม่แพง ราคาขาย กก.ละ 60-70 บาท นอกจากนี้ก็มีกะปิอย่างดีจากหลายจังหวัดที่มีชื่อด้านความอร่อย มาขายด้วย
ยายบุญธรรมบอกว่า คนขายสินค้าประเภทนี้ ต้องสามารถกะสัดส่วนของส่วนผสมแกงต่าง ๆ ให้กับลูกค้าได้ด้วย ทั้งเนื้อ น้ำพริกแกง และกะทิ รวมทั้งวิธีทำแบบคร่าว ๆ ด้วย
สำหรับอาชีพขาย “น้ำพริกแกง” นี้ อุปกรณ์ที่ใช้หลัก ๆ ก็มี... เครื่องบด หรือครก, กะละมัง, ทัพพี, กระทะ, ตะหลิว, เขียง, มีด เป็นต้น
ขณะที่ส่วนผสมน้ำพริกแกงต่าง ๆ ก็มีอาทิ... พริกแห้งเม็ดใหญ่ (พริกชี้ฟ้าแห้ง), หอมแดง, กระเทียม, ตะไคร้หั่นฝอย, ขาหั่นเป็นแว่น ๆ, รากผักชีหั่น, เกลือป่น, พริกไทย, ลูกจันทร์, ดอกจันทร์, เมล็ดผักชี, กานพลู, อบเชย, ลูกกระวาน, ยี่หร่า, เกลือ, น้ำมันพืช เป็นต้น
ร้านน้ำพริกแกง “ยายบุญธรรม” มีน้ำพริกแกงขึ้นชื่อหลายอย่าง เช่น “น้ำพริกแกงมัสมั่น”
ขั้นตอนการทำ “น้ำพริกแกงมัสมั่น” ยายบุญธรรมเปิดเผยว่า เริ่มจากผ่าพริกแห้งเอาเมล็ดออกทิ้ง แล้วหั่นหยาบ ๆ แช่น้ำทิ้งไว้สักครู่ เพื่อให้พริกแห้งนุ่ม เสร็จแล้วใช้มือบีบน้ำออก ใส่ภาชนะเตรียมไว้
จากนั้นนำพริกแห้งที่เตรียมไว้ใส่ครก ตามด้วยข่าหั่น ตะไคร้หั่น พริกไทย กระเทียม หอมแดง รากผักชีและเกลือป่น โขลกจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน พักไว้
ทำการคั่วพริกไทย ลูกจันทร์ ดอกจันทร์ เมล็ดผักชี ยี่หร่า ลูกกระวาน กานพลู และอบเชย ให้หอมเหลือง แล้วโขลกรวมกันให้ละเอียด จากนั้นตักขึ้นพักไว้ ก่อนจะนำไปโขลกรวมกับส่วนผสมของพริกให้เข้ากันดี แล้วนำไปผัดในน้ำมัน ใช่ไฟปานกลาง ผัดไปเรื่อย ๆ จนน้ำพริกมีกลิ่นหอม เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
ยายบุญธรรมบอกอีกว่า น้ำพริกแกงที่ร้านจะมีเอกลักษณ์ซึ่งทำให้มีลูกค้าประจำมาก คือจะมีกลิ่นหอมโชย รสชาติเข้มข้น และใช้สมุนไพรที่มีการเลือกสรรมาอย่างดี
ร้านน้ำพริกแม่บุญธรรมอยู่ในตลาดท่าน้ำนนทบุรี เปิดร้านตั้งแต่ตี 4 จนถึง 6 โมงเย็น ใครต้องการรับน้ำพริกแกงไปขายต่อ ก็ติดต่อสอบถามได้ที่ โทร.0-2526-7297, 0-2525-1403 ทั้งนี้ อาชีพ “ขายน้ำพริกแกง” นั้นทำเงินแบบไม่ธรรมดาได้...ถ้ามีสูตรเด็ด ใครพอมีฝีมือทางนี้ก็ลองหาสูตรมาฝึกฝน-หาทำเลขายกันดู
เชาวลี ชุมขำ :รายงาน / จเร รัตนราตรี :ภาพ
‘พวงกุญแจคู่รัก’ โดนใจวัยรุ่น ‘ขายได้รวยแน่’
ปัจจุบันตลาดงานแฮนด์เมดมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ตลาดก็มีการแข่งขันกันสูง เพราะฉะนั้น สินค้าแฮนด์เมด งานขายไอเดียจินตนาการ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมองหาจุดขายโดยการสร้างความแตกต่างให้กับสินค้า อย่างงาน “พวงกุญแจคู่รัก” ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอในวันนี้ ก็เป็นตัวอย่างที่ดี...
กดกดกดกด
“มีน-สุภารัตน์ จันทรเชย” เจ้าของงาน “พวงกุญแจคู่รัก” ชื่อแบรนด์ว่า “meannemod” เล่าว่า งานตัวนี้เริ่มทำมาตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรีแล้ว เรียนทางด้านออกแบบนิเทศศิลป์ พอดีในมหาวิทยาลัยมีการจัดงานให้นักศึกษานำงานแฮนด์เมด มาจำหน่าย ตอนนั้นก็เกิดความสนใจและพยายามคิดทำสินค้าไปขาย
ตอนนั้นทำ “พวงกุญแจ” ที่เป็นไม้ เพราะเป็นงานที่ทำไม่ยาก และสมัยนั้นส่วนใหญ่คนมักจะทำเป็นพวกโลหะหรือพลาสติก ก็ใช้เทคนิคการพิมพ์ที่เรียนทำการพิมพ์ภาพติดลงบนไม้ แต่แรก ๆ ดูแล้วไม่น่าสนใจ จนในที่สุดก็ได้ไอเดียนำเทคนิคการวาดรูปการ์ตูนคิกขุเป็น “คู่รัก” แล้วลงสีให้สดใส
เมื่อทำออกจำหน่ายก็ได้รับการตอบรับจากเพื่อน ๆ นักศึกษาเป็นอย่างดี จึงมีความคิดที่จะขยายตลาดออกมาจำหน่ายข้างนอก ก็เปิดร้านขายที่ตลาดรัชดาฯ แยกรัชดาฯ ก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
“การทำพวงกุญแจคู่รักโดยใช้เทคนิคการวาดรูปนั้นไม่ยาก เพราะเป็นลายเส้นที่ไม่ยากมากเกินไป สำหรับคนที่ไม่มีทักษะทางด้านการวาดรูปก็สามารถฝึกทำได้ เริ่มจากดูแบบจากรูปการ์ตูนแล้ววาดตาม จากนั้นก็ลงสีตามจินตนาการเท่านั้น ลองฝึกดูไม่นานก็จะชำนาญ”
อย่างไรก็ตาม เจ้าของไอเดียกล่าวต่ออีกว่า งานวาดนั้นไม่ยากก็จริง แต่ที่ยากนั้นอยู่ที่การออกแบบ คิดแบบ เพราะแบบแต่ละลายนั้นจะต้องคิดออกมาใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่ให้ซ้ำ ให้ลูกค้าได้มีตัวเลือกหลากหลาย แบบส่วนใหญ่ที่คิดออกมานั้นจะดูตามอินเทอร์เน็ต แล้วนำมาดัดแปลงประยุกต์เป็นแบบของตัวเอง โดยจุดเด่นของพวงกุญแจคู่รักจะเน้นวาดลายการ์ตูนที่ “น่ารักคิกขุ” สีสันสดใสสวยงาม ซึ่งถูกตาต้องใจกลุ่มวัยรุ่น
วัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ทำ มีดังนี้... แผ่นไม้อัด, สว่าน, เลื่อยฉลุมือหรือไฟฟ้า, สีโปสเตอร์, พู่กัน เบอร์ 8-4-1, เคลียร์เคลือบเงา, ดินสอ, สติกเกอร์ใส และโซ่ (สำหรับร้อยเป็นที่ห้อย ใช้เป็นลักษณะไข่ปลา)
“แผ่นไม้อัดที่ใช้นั้นจะใช้ขนาด เอ1 ใช้ชนิดที่แผ่นหนาอย่างดี เพราะถ้าใช้ไม้อัดแผ่นบางเวลาลงสีแล้วจะทำให้ไม้เป็นขุย งานออกมาไม่สวย ส่วนสีนั้นที่จำเป็น ๆ ก็คือแม่สี แดง เหลือง น้ำเงิน และที่ต้องเพิ่มเข้ามาก็คือ สีขาว สีดำ สีน้ำตาล คุณสมบัติของสีโปสเตอร์นั้นเป็นสีที่แห้งเร็ว ทำให้สามารถทำงานได้เร็ว”
ขั้นตอนการทำเริ่มจาก...นำแผ่นไม่อัดขนาด เอ1 มาทำการวาดตีตารางเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 4.5 x 6.5 เซนติเมตร เป็นไซซ์ที่ใช้ทำพวงกุญแจ วาดจนเต็มแผ่นไม้อัด จากนั้นก็ใช้สว่านเจาะรูสำหรับใส่สายห้อยจนครบทุกชิ้น และจึงนำไปใช้เลื่อยฉลุตัดออกเป็นชิ้น ๆ ก็จะได้แผ่นไม้เป็นชิ้น ๆ ขนาด 4.5 x 6.5 เซนติเมตร
ไม้อัดทั้งแผ่นจะตัดแบ่งทำพวงกุญแจได้ประมาณ 100 ชิ้น
เมื่อตัดแผ่นไม้อัดเรียบร้อยแล้วก็นำกระดาษทรายขัดขอบให้เรียบ จากนั้นก็นำแผ่นไม้อัดที่ตัดไว้มา 2 ชิ้น คิดแบบลายที่จะวาด ใช้ดินสอวาดโครงร่างของตัวการ์ตูนตามแบบที่คิดไว้ลงไปบนแผ่นไม้
เมื่อวาดเสร็จก็ทำการลงสี
การลงสีนั้นก็ตามจินตนาการ โดยเริ่มลงสีจากพื้นที่ส่วนที่กว้างสุดก่อน นั่นก็คือพื้นหลัง แล้วจึงลงสีที่เสื้อผ้าของตัวการ์ตูน ตามด้วยลงสีผิว สีผม และแต่งตา จมูก ปาก หรือรายละเอียดอื่น ๆ ตามลำดับ
จากนั้นก็ใช้สีดำทำการตัดเส้น ใช้เคลียร์พ่นเคลือบเงา ใช้สติกเกอร์ใสติดทับอีกที เท่านี้ก็เรียบร้อย แต่ถ้าลูกค้าต้องการให้เขียนชื่อลงบนชิ้นงานด้วย ก็ต้องเขียนชื่อก่อนแล้วจึงค่อยติดสติกเกอร์ทับ
พวงกุญแจคู่รักนี้ ขายคู่ละ 50 บาท ถ้าเป็นชิ้นเดียวเดี่ยว ๆ ก็ราคา 25 บาท หากเป็นแบบชิ้นเล็กก็ราคา 15 บาท แต่ถ้าซื้อเกิน 20 ชิ้นขึ้นไป ราคาก็จะลดลงอีกนิดหน่อย ซึ่งต้นทุนจะประมาณ 50% ของราคา
กดกดกดกด
ใครสนใจ “พวงกุญแจคู่รัก” ถ้าอยู่ในกรุงเทพฯ ก็ไปดูได้ที่แยกรัชดาฯ ตลาดรัชดาไนท์ ซอย 1 ช่วงกลาง ๆ ซอย มีน-สุภารัตน์จะเปิดขายเฉพาะคืนวันเสาร์ หรือต้องการสั่งออร์เดอร์เพื่อไปจำหน่ายต่อเป็นอาชีพ ก็โทรศัพท์ไปคุยกับมีนได้ที่ โทร.08-5862-9641 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกตัวอย่างงานแฮนด์เมดที่น่าสนใจ.
บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน/จเร รัตนราตรี : ภาพ
กดกดกดกด
“มีน-สุภารัตน์ จันทรเชย” เจ้าของงาน “พวงกุญแจคู่รัก” ชื่อแบรนด์ว่า “meannemod” เล่าว่า งานตัวนี้เริ่มทำมาตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรีแล้ว เรียนทางด้านออกแบบนิเทศศิลป์ พอดีในมหาวิทยาลัยมีการจัดงานให้นักศึกษานำงานแฮนด์เมด มาจำหน่าย ตอนนั้นก็เกิดความสนใจและพยายามคิดทำสินค้าไปขาย
ตอนนั้นทำ “พวงกุญแจ” ที่เป็นไม้ เพราะเป็นงานที่ทำไม่ยาก และสมัยนั้นส่วนใหญ่คนมักจะทำเป็นพวกโลหะหรือพลาสติก ก็ใช้เทคนิคการพิมพ์ที่เรียนทำการพิมพ์ภาพติดลงบนไม้ แต่แรก ๆ ดูแล้วไม่น่าสนใจ จนในที่สุดก็ได้ไอเดียนำเทคนิคการวาดรูปการ์ตูนคิกขุเป็น “คู่รัก” แล้วลงสีให้สดใส
เมื่อทำออกจำหน่ายก็ได้รับการตอบรับจากเพื่อน ๆ นักศึกษาเป็นอย่างดี จึงมีความคิดที่จะขยายตลาดออกมาจำหน่ายข้างนอก ก็เปิดร้านขายที่ตลาดรัชดาฯ แยกรัชดาฯ ก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
“การทำพวงกุญแจคู่รักโดยใช้เทคนิคการวาดรูปนั้นไม่ยาก เพราะเป็นลายเส้นที่ไม่ยากมากเกินไป สำหรับคนที่ไม่มีทักษะทางด้านการวาดรูปก็สามารถฝึกทำได้ เริ่มจากดูแบบจากรูปการ์ตูนแล้ววาดตาม จากนั้นก็ลงสีตามจินตนาการเท่านั้น ลองฝึกดูไม่นานก็จะชำนาญ”
อย่างไรก็ตาม เจ้าของไอเดียกล่าวต่ออีกว่า งานวาดนั้นไม่ยากก็จริง แต่ที่ยากนั้นอยู่ที่การออกแบบ คิดแบบ เพราะแบบแต่ละลายนั้นจะต้องคิดออกมาใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่ให้ซ้ำ ให้ลูกค้าได้มีตัวเลือกหลากหลาย แบบส่วนใหญ่ที่คิดออกมานั้นจะดูตามอินเทอร์เน็ต แล้วนำมาดัดแปลงประยุกต์เป็นแบบของตัวเอง โดยจุดเด่นของพวงกุญแจคู่รักจะเน้นวาดลายการ์ตูนที่ “น่ารักคิกขุ” สีสันสดใสสวยงาม ซึ่งถูกตาต้องใจกลุ่มวัยรุ่น
วัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ทำ มีดังนี้... แผ่นไม้อัด, สว่าน, เลื่อยฉลุมือหรือไฟฟ้า, สีโปสเตอร์, พู่กัน เบอร์ 8-4-1, เคลียร์เคลือบเงา, ดินสอ, สติกเกอร์ใส และโซ่ (สำหรับร้อยเป็นที่ห้อย ใช้เป็นลักษณะไข่ปลา)
“แผ่นไม้อัดที่ใช้นั้นจะใช้ขนาด เอ1 ใช้ชนิดที่แผ่นหนาอย่างดี เพราะถ้าใช้ไม้อัดแผ่นบางเวลาลงสีแล้วจะทำให้ไม้เป็นขุย งานออกมาไม่สวย ส่วนสีนั้นที่จำเป็น ๆ ก็คือแม่สี แดง เหลือง น้ำเงิน และที่ต้องเพิ่มเข้ามาก็คือ สีขาว สีดำ สีน้ำตาล คุณสมบัติของสีโปสเตอร์นั้นเป็นสีที่แห้งเร็ว ทำให้สามารถทำงานได้เร็ว”
ขั้นตอนการทำเริ่มจาก...นำแผ่นไม่อัดขนาด เอ1 มาทำการวาดตีตารางเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 4.5 x 6.5 เซนติเมตร เป็นไซซ์ที่ใช้ทำพวงกุญแจ วาดจนเต็มแผ่นไม้อัด จากนั้นก็ใช้สว่านเจาะรูสำหรับใส่สายห้อยจนครบทุกชิ้น และจึงนำไปใช้เลื่อยฉลุตัดออกเป็นชิ้น ๆ ก็จะได้แผ่นไม้เป็นชิ้น ๆ ขนาด 4.5 x 6.5 เซนติเมตร
ไม้อัดทั้งแผ่นจะตัดแบ่งทำพวงกุญแจได้ประมาณ 100 ชิ้น
เมื่อตัดแผ่นไม้อัดเรียบร้อยแล้วก็นำกระดาษทรายขัดขอบให้เรียบ จากนั้นก็นำแผ่นไม้อัดที่ตัดไว้มา 2 ชิ้น คิดแบบลายที่จะวาด ใช้ดินสอวาดโครงร่างของตัวการ์ตูนตามแบบที่คิดไว้ลงไปบนแผ่นไม้
เมื่อวาดเสร็จก็ทำการลงสี
การลงสีนั้นก็ตามจินตนาการ โดยเริ่มลงสีจากพื้นที่ส่วนที่กว้างสุดก่อน นั่นก็คือพื้นหลัง แล้วจึงลงสีที่เสื้อผ้าของตัวการ์ตูน ตามด้วยลงสีผิว สีผม และแต่งตา จมูก ปาก หรือรายละเอียดอื่น ๆ ตามลำดับ
จากนั้นก็ใช้สีดำทำการตัดเส้น ใช้เคลียร์พ่นเคลือบเงา ใช้สติกเกอร์ใสติดทับอีกที เท่านี้ก็เรียบร้อย แต่ถ้าลูกค้าต้องการให้เขียนชื่อลงบนชิ้นงานด้วย ก็ต้องเขียนชื่อก่อนแล้วจึงค่อยติดสติกเกอร์ทับ
พวงกุญแจคู่รักนี้ ขายคู่ละ 50 บาท ถ้าเป็นชิ้นเดียวเดี่ยว ๆ ก็ราคา 25 บาท หากเป็นแบบชิ้นเล็กก็ราคา 15 บาท แต่ถ้าซื้อเกิน 20 ชิ้นขึ้นไป ราคาก็จะลดลงอีกนิดหน่อย ซึ่งต้นทุนจะประมาณ 50% ของราคา
กดกดกดกด
ใครสนใจ “พวงกุญแจคู่รัก” ถ้าอยู่ในกรุงเทพฯ ก็ไปดูได้ที่แยกรัชดาฯ ตลาดรัชดาไนท์ ซอย 1 ช่วงกลาง ๆ ซอย มีน-สุภารัตน์จะเปิดขายเฉพาะคืนวันเสาร์ หรือต้องการสั่งออร์เดอร์เพื่อไปจำหน่ายต่อเป็นอาชีพ ก็โทรศัพท์ไปคุยกับมีนได้ที่ โทร.08-5862-9641 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกตัวอย่างงานแฮนด์เมดที่น่าสนใจ.
บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน/จเร รัตนราตรี : ภาพ
ที่มา เดลินิวส์
‘ทองพับแคลเซียม’ เพิ่มคุณค่า-เพิ่มจุดขาย
ขนมธรรมดา สามารถทำให้ไม่ธรรมดาได้ด้วยการนำคุณค่าทางอาหารมาเสริมเข้าไป ทำให้ขนมไทยกลายเป็นอาหารสุขภาพ กลายเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่สนใจมากขึ้น อย่างเช่น “ทองพับเสริมแคลเซียม”
ปลั่ง เสนาะคำ เจ้าของผลิตภัณฑ์ “ทองพับเสริมแคลเซียม” ยี่ห้อ “คุณย่าปลื้ม” เล่าว่า เดิมเปิดร้านข้าวแกงและของชำ ต่อมาเข้าร่วมโครงการกับสถาบันวิจัยโภชนาการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อาหารว่างสุขภาพ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งก็ได้เลือกทำทองพับเสริมแคลเซียม และกลายมาเป็นรายได้เสริมที่ดีทีเดียว
การทำทองพับเสริมแคลเซียมนั้น อุปกรณ์ที่ใช้มี อาทิ ชามผสม ที่ตีไข่ เกรียงแซะอาหาร กระชอนร่อนแป้ง ถ้วยตวง ช้อนตวง และเครื่องพิมพ์ปิ้งทองพับไฟฟ้า 2 หัว ส่วนวัตถุดิบ ได้แก่ แป้งสาลีอเนกประสงค์ 700 กรัม, น้ำตาลทราย 300 กรัม ต้มเป็นน้ำเชื่อมได้ 1 กก., เกลือไอโอดีน 10 กรัม, กะทิมะพร้าว 500 กรัม, นมถั่วเหลืองต้มไม่ใส่น้ำตาล 500 มล. (ใช้ทดแทนกะทิร้อยละ 50 เพื่อลดปริมาณไขมันอิ่มตัว), น้ำปูนใส 150 กรัม, ไข่ไก่ 6 ฟองเล็ก, งาดำคั่ว 50 กรัม, น้ำเปล่า 720 มล. และ ไตรแคลเซียมฟอสเฟต 15.6 กรัม (ผงแคลเซียม)
ปริมาณส่วนผสมข้างต้น เป็นแป้งที่เตรียมไว้ทั้งหมด 5 สูตร แต่แบ่ง 4 ส่วนใช้กับแต่ละรส รสละ 1 ส่วน ซึ่งเมื่อผสมออกมาแล้วจะได้ส่วนผสมแป้งที่เมื่อแบ่งออกเป็น 4 ส่วน จะได้ส่วนละประมาณ 760 กรัม
4 รสที่ว่าก็มี รสกล้วยหอม ใช้กล้วยหอมสุกงอม 300 กรัม ผสมแป้ง 1 ใน 4 ส่วน, รสเผือก ใช้เผือกต้มบดละเอียด 300 กรัม, รสฟักทอง ใช้ฟักทองต้มบดละเอียด 300 กรัม และ รสดั้งเดิม ไม่ต้องผสมอะไร
การใช้กล้วย, เผือก และฟักทอง เป็นการดัดแปลงให้เพิ่มคุณค่าสารอาหารที่เป็นประโยชน์อื่น ๆ ได้ด้วย
วิธีทำ เริ่มที่แช่ปูนที่กินกับหมาก 0.5 กก. กับน้ำสะอาดในปริมาณที่ให้ท่วมปูนอีก 4 เท่า คนให้ละลาย ตั้งทิ้งไว้ให้ใส ตักส่วนที่ใสไว้ใช้ นำแป้งสาลีมาร่อนด้วยตะแกรง 1 ครั้งก่อนนำไปผสมกับผงแคลเซียม คนให้เข้ากัน ไม่ต้องร่อน เพราะผงแคลเซียมจะติดตะแกรงง่าย นำน้ำตาลไปต้มกับน้ำ เคี่ยวเป็นน้ำเชื่อมให้ได้ 500 มล.
จากนั้นผสมแป้งกับกะทิ นมถั่วเหลือง น้ำเชื่อม น้ำปูนใส ใช้ที่ตีไข่กวนผสมให้เนียนเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน และตามด้วยไข่ไก่ ตอกรวมตีให้แตกก่อนนำไปใส่รวมในส่วนผสม ใส่ไข่ลงในส่วนผสม แล้วคนให้ส่วนผสมเข้ากันจนเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ตามด้วยการใส่เกลือป่น งาคั่ว ลงไปในส่วนผสม
สำหรับการเตรียมรส ไม่ว่าจะเป็นเผือก ฟักทอง กล้วยหอม แต่ละรสก็ผสมกับส่วนผสมแป้ง 1 ใน 4 ส่วน กวนผสมแป้งกับรสต่าง ๆ ให้เนียนจนเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
หรือถ้าจะทำเป็น รสผักหวาน ก็ล้างผักให้สะอาด หั่นฝอย นำไปอบไฟอ่อนประมาณ 45 นาที ให้น้ำหนักเหลือ 1 ใน 3 หรือจะทำเป็น รสใบมะรุม อันนี้ไม่ต้องหั่นฝอย รูดใบแล้วนำไปอบได้ ซึ่งการอบช่วยให้ใบผักแห้งสนิท นำไปใช้โรยหน้าทองพับขณะปิ้ง
ขั้นตอนการปิ้งทองพับ เริ่มที่เปิดเครื่องพิมพ์ทองพับไฟฟ้า ตั้งอุณหภูมิที่ 80 องศาเซลเซียส รอให้เครื่องร้อนก่อนใช้ โดยหมั่นคนส่วนผสมให้เข้ากันทุกครั้งก่อนที่จะตักแป้งหยอดใส่พิมพ์ เพื่อให้ได้ส่วนผสมสม่ำเสมอทุกแผ่น เพราะแป้งจะตกตะกอนนอนก้น ใช้น้ำมันพืชทาพิมพ์เล็กน้อย จากนั้นจึงค่อยตักแป้งหยอดลงบริเวณกลาง ๆ พิมพ์ ปิดพิมพ์เบา ๆ เพื่อไล่แป้งให้กระจายสม่ำเสมอทั่วพิมพ์ก่อน จึงค่อยออกแรงกดพิมพ์ให้แน่น จะได้แผ่นทองพับที่บาง ปิ้งไฟไว้จนแป้งขนมสุกและมีกลิ่นหอม จึงใช้เกรียงแซะขนมออกจากพิมพ์
การปิ้งขนมให้กรอบอร่อยให้สังเกตสีขนม ควรมีสีเหลืองออกน้ำตาลอ่อนเล็กน้อย เมื่อขนมสุกแล้ว ผึ่งไว้ให้เย็นก่อนบรรจุถุงพลาสติกใส ปิดปากถุงด้วยเครื่องรีด เก็บในปี๊บขนม จะเก็บได้นานประมาณ 1 เดือน
สำหรับสูตรที่ระบุมาข้างต้น ถ้าทำ 4 รส จะได้ขนมรสละประมาณ 60 แผ่น น้ำหนักแผ่นละประมาณ 6 กรัม จะได้ขนมทั้งหมดประมาณ 240 ชิ้น ใส่ถุงจำหน่ายถุงละ 17 ชิ้น ขายราคาถุงละ 20 บาท ขายหมดจะได้ 280 บาท โดยมีต้นทุนวัตถุดิบประมาณ 70-80 บาท
ผลิตภัณฑ์ “ทองพับเสริมแคลเซียม” เจ้านี้ขายอยู่ที่บ้านเลขที่ 22 หมู่ 3 ต.ดอนแฝก อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม โทร. 0-3423-9898 ส่วนสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ยังมีสูตรอาหารว่างสุขภาพอีกหลายชนิด ใครสนใจสอบถามไปที่ อ.อรพินท์ บรรจง โทร. 0-2800-2380 ต่อ 314 (ในวันและเวลาราชการ).
สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน
ปลั่ง เสนาะคำ เจ้าของผลิตภัณฑ์ “ทองพับเสริมแคลเซียม” ยี่ห้อ “คุณย่าปลื้ม” เล่าว่า เดิมเปิดร้านข้าวแกงและของชำ ต่อมาเข้าร่วมโครงการกับสถาบันวิจัยโภชนาการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อาหารว่างสุขภาพ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งก็ได้เลือกทำทองพับเสริมแคลเซียม และกลายมาเป็นรายได้เสริมที่ดีทีเดียว
การทำทองพับเสริมแคลเซียมนั้น อุปกรณ์ที่ใช้มี อาทิ ชามผสม ที่ตีไข่ เกรียงแซะอาหาร กระชอนร่อนแป้ง ถ้วยตวง ช้อนตวง และเครื่องพิมพ์ปิ้งทองพับไฟฟ้า 2 หัว ส่วนวัตถุดิบ ได้แก่ แป้งสาลีอเนกประสงค์ 700 กรัม, น้ำตาลทราย 300 กรัม ต้มเป็นน้ำเชื่อมได้ 1 กก., เกลือไอโอดีน 10 กรัม, กะทิมะพร้าว 500 กรัม, นมถั่วเหลืองต้มไม่ใส่น้ำตาล 500 มล. (ใช้ทดแทนกะทิร้อยละ 50 เพื่อลดปริมาณไขมันอิ่มตัว), น้ำปูนใส 150 กรัม, ไข่ไก่ 6 ฟองเล็ก, งาดำคั่ว 50 กรัม, น้ำเปล่า 720 มล. และ ไตรแคลเซียมฟอสเฟต 15.6 กรัม (ผงแคลเซียม)
ปริมาณส่วนผสมข้างต้น เป็นแป้งที่เตรียมไว้ทั้งหมด 5 สูตร แต่แบ่ง 4 ส่วนใช้กับแต่ละรส รสละ 1 ส่วน ซึ่งเมื่อผสมออกมาแล้วจะได้ส่วนผสมแป้งที่เมื่อแบ่งออกเป็น 4 ส่วน จะได้ส่วนละประมาณ 760 กรัม
4 รสที่ว่าก็มี รสกล้วยหอม ใช้กล้วยหอมสุกงอม 300 กรัม ผสมแป้ง 1 ใน 4 ส่วน, รสเผือก ใช้เผือกต้มบดละเอียด 300 กรัม, รสฟักทอง ใช้ฟักทองต้มบดละเอียด 300 กรัม และ รสดั้งเดิม ไม่ต้องผสมอะไร
การใช้กล้วย, เผือก และฟักทอง เป็นการดัดแปลงให้เพิ่มคุณค่าสารอาหารที่เป็นประโยชน์อื่น ๆ ได้ด้วย
วิธีทำ เริ่มที่แช่ปูนที่กินกับหมาก 0.5 กก. กับน้ำสะอาดในปริมาณที่ให้ท่วมปูนอีก 4 เท่า คนให้ละลาย ตั้งทิ้งไว้ให้ใส ตักส่วนที่ใสไว้ใช้ นำแป้งสาลีมาร่อนด้วยตะแกรง 1 ครั้งก่อนนำไปผสมกับผงแคลเซียม คนให้เข้ากัน ไม่ต้องร่อน เพราะผงแคลเซียมจะติดตะแกรงง่าย นำน้ำตาลไปต้มกับน้ำ เคี่ยวเป็นน้ำเชื่อมให้ได้ 500 มล.
จากนั้นผสมแป้งกับกะทิ นมถั่วเหลือง น้ำเชื่อม น้ำปูนใส ใช้ที่ตีไข่กวนผสมให้เนียนเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน และตามด้วยไข่ไก่ ตอกรวมตีให้แตกก่อนนำไปใส่รวมในส่วนผสม ใส่ไข่ลงในส่วนผสม แล้วคนให้ส่วนผสมเข้ากันจนเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ตามด้วยการใส่เกลือป่น งาคั่ว ลงไปในส่วนผสม
สำหรับการเตรียมรส ไม่ว่าจะเป็นเผือก ฟักทอง กล้วยหอม แต่ละรสก็ผสมกับส่วนผสมแป้ง 1 ใน 4 ส่วน กวนผสมแป้งกับรสต่าง ๆ ให้เนียนจนเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
หรือถ้าจะทำเป็น รสผักหวาน ก็ล้างผักให้สะอาด หั่นฝอย นำไปอบไฟอ่อนประมาณ 45 นาที ให้น้ำหนักเหลือ 1 ใน 3 หรือจะทำเป็น รสใบมะรุม อันนี้ไม่ต้องหั่นฝอย รูดใบแล้วนำไปอบได้ ซึ่งการอบช่วยให้ใบผักแห้งสนิท นำไปใช้โรยหน้าทองพับขณะปิ้ง
ขั้นตอนการปิ้งทองพับ เริ่มที่เปิดเครื่องพิมพ์ทองพับไฟฟ้า ตั้งอุณหภูมิที่ 80 องศาเซลเซียส รอให้เครื่องร้อนก่อนใช้ โดยหมั่นคนส่วนผสมให้เข้ากันทุกครั้งก่อนที่จะตักแป้งหยอดใส่พิมพ์ เพื่อให้ได้ส่วนผสมสม่ำเสมอทุกแผ่น เพราะแป้งจะตกตะกอนนอนก้น ใช้น้ำมันพืชทาพิมพ์เล็กน้อย จากนั้นจึงค่อยตักแป้งหยอดลงบริเวณกลาง ๆ พิมพ์ ปิดพิมพ์เบา ๆ เพื่อไล่แป้งให้กระจายสม่ำเสมอทั่วพิมพ์ก่อน จึงค่อยออกแรงกดพิมพ์ให้แน่น จะได้แผ่นทองพับที่บาง ปิ้งไฟไว้จนแป้งขนมสุกและมีกลิ่นหอม จึงใช้เกรียงแซะขนมออกจากพิมพ์
การปิ้งขนมให้กรอบอร่อยให้สังเกตสีขนม ควรมีสีเหลืองออกน้ำตาลอ่อนเล็กน้อย เมื่อขนมสุกแล้ว ผึ่งไว้ให้เย็นก่อนบรรจุถุงพลาสติกใส ปิดปากถุงด้วยเครื่องรีด เก็บในปี๊บขนม จะเก็บได้นานประมาณ 1 เดือน
สำหรับสูตรที่ระบุมาข้างต้น ถ้าทำ 4 รส จะได้ขนมรสละประมาณ 60 แผ่น น้ำหนักแผ่นละประมาณ 6 กรัม จะได้ขนมทั้งหมดประมาณ 240 ชิ้น ใส่ถุงจำหน่ายถุงละ 17 ชิ้น ขายราคาถุงละ 20 บาท ขายหมดจะได้ 280 บาท โดยมีต้นทุนวัตถุดิบประมาณ 70-80 บาท
ผลิตภัณฑ์ “ทองพับเสริมแคลเซียม” เจ้านี้ขายอยู่ที่บ้านเลขที่ 22 หมู่ 3 ต.ดอนแฝก อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม โทร. 0-3423-9898 ส่วนสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ยังมีสูตรอาหารว่างสุขภาพอีกหลายชนิด ใครสนใจสอบถามไปที่ อ.อรพินท์ บรรจง โทร. 0-2800-2380 ต่อ 314 (ในวันและเวลาราชการ).
สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน
ที่มา เดลินิวส์
เสื้อผ้า เครื่องแต่ง สำหรับสุนัขธุรกิจมาใหม่
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาในคอลัมน์คิดทำได้กำเงิน หน้าช่องทางทำกิน ได้นำเสนอข้อมูลสั้น ๆ เกี่ยวกับการทำ “เสื้อผ้าสุนัข” เพื่อให้ครบเครื่อง วันนี้ใน “ถอดรหัสอาชีพ” ผมเลยมาต่อยอดให้อีกหน่อย กับการทำ “ธุรกิจเสื้อผ้าและเครื่องประดับสำหรับสุนัข” โดยเป็นข้อมูลจากเว็บไซต์ www.sme.go.th ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ในหมวด เจาะเคล็ดอาชีพเด็ด SMEs
จากข้อมูลซึ่งอ้างอิงจากผู้ที่ประกอบการจริง สรุปได้ว่า... ธุรกิจนี้ถ้าทำเล็ก ๆ ก็ใช้เงินทุนเบื้องต้นประมาณ 20,000 บาท ถ้ากิจการไปได้ดีก็น่าจะมีรายได้ราว ๆ 35,000–40,000 บาท/เดือน โดยสินค้าของธุรกิจนี้ หลัก ๆ ก็อาทิ... เสื้อกล้ามสุนัข, เสื้อกันหนาวสุนัข, กระโปรงสำหรับสุนัข, แผ่นอนามัยสำหรับสุนัข, เครื่องประดับสำหรับสุนัข, ของตกแต่งต่าง ๆ ซึ่ง แหล่งซื้อวัตถุดิบมาตัดเย็บ ก็เช่น ประตูน้ำ, โบ๊เบ๊, สำเพ็ง
ธุรกิจเสื้อผ้าและเครื่องประดับสำหรับสุนัข วิธีการสร้างความแตกต่างและจูงใจลูกค้า ก็เช่น มีสุนัขเป็นหุ่นทดลองการสวมใส่ให้ลูกค้าได้เห็นจริง เพื่อช่วยสร้างแรงจูงใจในการซื้อสินค้า เพื่อให้เกิดการตัดสินใจในการจับจ่ายของลูกค้าได้ง่ายขึ้น โดยที่ใครจะทำอาชีพนี้ควรจะเริ่มจากความชอบ มีพื้นฐานเป็นคนรักสัตว์เลี้ยง
อาจจะเริ่มจากสินค้าไม่กี่ชนิด ใช้ความรู้และความชอบของตนเองมาดัดแปลงให้เข้ากับสุนัข แล้วเมื่อกิจการมีแนวโน้มดี ได้รับการตอบรับดี จึงค่อย ๆ ขยับขยายการขายสินค้าให้มีสินค้าหลากหลายมากขึ้น ซึ่งก็ต้องศึกษาโครงสร้างของสุนัข ต้องศึกษาข้อมูลการทำเสื้อผ้าสุนัข โดยจะต้องมีการดีไซน์ จะต้องมีแบบใหม่ ๆ และต้องเรียนรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของสุนัข เพื่อให้สามารถผลิตสินค้าที่ง่ายต่อการสวมใส่ของสุนัข
ที่สำคัญคือต้องสำรวจตลาดก่อน วิเคราะห์กลุ่มลูกค้า เพื่อทำสินค้าให้ตรงกับกลุ่มผู้ซื้อ โดยคำนึงถึงระดับราคา และการเลือกทำเลขายสินค้า ก็ต้องให้ความสำคัญเช่นกันนะครับ !!
ต่อกันด้วย... นิตยสาร วูแมน แอนด์ โฮม (woman&home) ในเครือ อินสไพร์ เอนเตอร์เทนเม้นท์ จะเปิดคลาสพิเศษ “สอนปั้นตุ๊กตาดิน” เรียนรู้การปั้นตุ๊กตาผู้หญิง เพลิดเพลินกับการปั้นดินด้วยสองมือและหัวใจ ชื่นชมกับผลงานที่ตัวเองเป็นผู้รังสรรค์ สอนโดย องุ่น-เกณิกา สุขเกษม ประติมากรเจ้าของรูปปั้นหญิงสาวที่มีลีลาท่าทางอันอ่อนช้อยและเต็มไปด้วยความรู้สึก คลาสพิเศษนี้จะจัดขึ้นใน วันอาทิตย์ที่ 20 ก.ย. 2552 เวลา 13.30-17.30 น. ที่สวนสามพราน บรรยากาศริมน้ำ คลาสนี้คิดค่าใช้จ่ายคนละ 1,500 บาท (สมาชิกนิตยสารลด 20% เหลือ 1,200 บาท) รวมค่าดิน อุปกรณ์การปั้น ค่าเผา อาหารว่างและเครื่องดื่ม รับสมัครเพียง 20 คน ใครสนใจเข้าร่วมสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณปิยฉัตร โทร. 0-2508-8100 ต่อ 8114, 08-6304-5518
จากข้อมูลซึ่งอ้างอิงจากผู้ที่ประกอบการจริง สรุปได้ว่า... ธุรกิจนี้ถ้าทำเล็ก ๆ ก็ใช้เงินทุนเบื้องต้นประมาณ 20,000 บาท ถ้ากิจการไปได้ดีก็น่าจะมีรายได้ราว ๆ 35,000–40,000 บาท/เดือน โดยสินค้าของธุรกิจนี้ หลัก ๆ ก็อาทิ... เสื้อกล้ามสุนัข, เสื้อกันหนาวสุนัข, กระโปรงสำหรับสุนัข, แผ่นอนามัยสำหรับสุนัข, เครื่องประดับสำหรับสุนัข, ของตกแต่งต่าง ๆ ซึ่ง แหล่งซื้อวัตถุดิบมาตัดเย็บ ก็เช่น ประตูน้ำ, โบ๊เบ๊, สำเพ็ง
ธุรกิจเสื้อผ้าและเครื่องประดับสำหรับสุนัข วิธีการสร้างความแตกต่างและจูงใจลูกค้า ก็เช่น มีสุนัขเป็นหุ่นทดลองการสวมใส่ให้ลูกค้าได้เห็นจริง เพื่อช่วยสร้างแรงจูงใจในการซื้อสินค้า เพื่อให้เกิดการตัดสินใจในการจับจ่ายของลูกค้าได้ง่ายขึ้น โดยที่ใครจะทำอาชีพนี้ควรจะเริ่มจากความชอบ มีพื้นฐานเป็นคนรักสัตว์เลี้ยง
อาจจะเริ่มจากสินค้าไม่กี่ชนิด ใช้ความรู้และความชอบของตนเองมาดัดแปลงให้เข้ากับสุนัข แล้วเมื่อกิจการมีแนวโน้มดี ได้รับการตอบรับดี จึงค่อย ๆ ขยับขยายการขายสินค้าให้มีสินค้าหลากหลายมากขึ้น ซึ่งก็ต้องศึกษาโครงสร้างของสุนัข ต้องศึกษาข้อมูลการทำเสื้อผ้าสุนัข โดยจะต้องมีการดีไซน์ จะต้องมีแบบใหม่ ๆ และต้องเรียนรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของสุนัข เพื่อให้สามารถผลิตสินค้าที่ง่ายต่อการสวมใส่ของสุนัข
ที่สำคัญคือต้องสำรวจตลาดก่อน วิเคราะห์กลุ่มลูกค้า เพื่อทำสินค้าให้ตรงกับกลุ่มผู้ซื้อ โดยคำนึงถึงระดับราคา และการเลือกทำเลขายสินค้า ก็ต้องให้ความสำคัญเช่นกันนะครับ !!
ต่อกันด้วย... นิตยสาร วูแมน แอนด์ โฮม (woman&home) ในเครือ อินสไพร์ เอนเตอร์เทนเม้นท์ จะเปิดคลาสพิเศษ “สอนปั้นตุ๊กตาดิน” เรียนรู้การปั้นตุ๊กตาผู้หญิง เพลิดเพลินกับการปั้นดินด้วยสองมือและหัวใจ ชื่นชมกับผลงานที่ตัวเองเป็นผู้รังสรรค์ สอนโดย องุ่น-เกณิกา สุขเกษม ประติมากรเจ้าของรูปปั้นหญิงสาวที่มีลีลาท่าทางอันอ่อนช้อยและเต็มไปด้วยความรู้สึก คลาสพิเศษนี้จะจัดขึ้นใน วันอาทิตย์ที่ 20 ก.ย. 2552 เวลา 13.30-17.30 น. ที่สวนสามพราน บรรยากาศริมน้ำ คลาสนี้คิดค่าใช้จ่ายคนละ 1,500 บาท (สมาชิกนิตยสารลด 20% เหลือ 1,200 บาท) รวมค่าดิน อุปกรณ์การปั้น ค่าเผา อาหารว่างและเครื่องดื่ม รับสมัครเพียง 20 คน ใครสนใจเข้าร่วมสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณปิยฉัตร โทร. 0-2508-8100 ต่อ 8114, 08-6304-5518
‘อาหารก๊อปปี้’ สร้างเลียนแบบ ขายดีสุดๆ
ของไม่จริง...แต่ทำเงินได้จริง
ก๊อบปี้-ลอกเลียนแบบ กับหลาย ๆ อย่างผิดกฎหมาย แต่กับบางอย่างก็เป็นช่องทางทำเงินที่ถูกกฎหมาย แถมทำเงินได้น่าทึ่ง อย่างเช่นงาน “โมเดลอาหารจำลอง” ที่เป็น “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจ...
“นิธินันท์ ธนันศิริเชษฐ์” เจ้าของร้านกิ๊ฟท์เก๋ มีอาชีพรับบริการผลิตโมเดล “อาหารจำลอง” เจ้าตัวเล่าว่า จากการที่ร้านอาหารต่าง ๆ เกิดความต้องการโมเดลอาหารจำลอง เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการวางโชว์สินค้าที่เป็นของจริง ๆ ซึ่งระยะแรกจะเป็นการนำเข้าจากต่างประเทศเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เนื่องจากระยะหลังร้านอาหารไทยแท้ ๆ ก็ต้องการใช้ ขณะที่โมเดลนำเข้าส่วนใหญ่จะเป็นอาหารต่างประเทศ จึงคิดกันว่าในบ้านเราก็มีคนทำที่มีฝีมืออยู่ จึงคิดว่าน่าจะสามารถนำมาพัฒนาเป็นธุรกิจได้ จึงตัดสินใจลงมือทำอาชีพนี้
งานโมเดลอาหารจำลองนี้เริ่มแพร่หลายมาจากประเทศญี่ปุ่น ส่วนในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเป็นที่รู้จักจากวงการโฆษณาในรูปแบบของการทำ ม็อคอัพ (Mockup) ซึ่งเริ่มนิยมในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยระยะแรกยังไม่ค่อยมีกระแสตอบรับมากนัก เนื่องจากร้านค้าและลูกค้ายังมีทัศนคติแง่ลบกับอาหารจำลองอยู่ ต่อมาเมื่อเศรษฐกิจเริ่มไม่ดี ลูกค้าต่างก็พยายามลดต้นทุน ซึ่งอาหารที่วางโชว์หน้าร้านก็ถือเป็นต้นทุน จึงทำให้อาหารจำลองได้รับความนิยม เรียกว่าสวนกระแสสินค้าอื่น ๆ เลยทีเดียว
“หลังเศรษฐกิจขาลง ลูกค้าก็เพิ่มขึ้น เพราะลูกค้าต้องการตัดค่าใช้จ่ายในการใช้วัตถุดิบจริงหรืออาหารจริงมาโชว์ อีกเรื่องคืออายุการใช้งาน อาหารจริงที่นำมาวางโชว์จะมีระยะเวลาใช้งานไม่นาน ขณะที่อาหารจำลองสามารถเก็บได้ไม่ต่ำกว่า 5 ปี หากลูกค้าไม่เปลี่ยนเมนูไปเสียก่อน”
รูปแบบสินค้า นิธินันท์บอกว่า หลัก ๆ ก็จะแบ่งประเภทเป็น อาหารคาว (แบ่งออกเป็น อาหารไทย อาหารต่างประเทศ) อาหารหวาน และ เครื่องดื่ม นอกจากนี้ก็ยังมีโมเดลจำลองที่เป็นวัตถุดิบของร้านอาหาร อาทิโมเดลรูป ไก่, เป็ด, หมูย่าง, หมูกรอบ, หมูแดง, ผัก และผลไม้ โดยกลุ่มลูกค้ามีทั้งร้านอาหารในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงบริษัทโฆษณาที่ต้องการสินค้าจำลองสำหรับใช้ในการถ่ายทำโฆษณา
ช่องทางการจำหน่ายโมเดล “อาหารจำลอง” นอกจากเปิดหน้าร้านแล้ว ก็ยังมีการใช้ระบบไอที-อินเทอร์เน็ตเข้ามาช่วยด้วย โดยมีการจัดทำเว็บไซต์ www.giftkaeshopping.com สำหรับติดต่อกับลูกค้า โดยลูกค้าสามารถส่งภาพถ่ายที่ต้องการทำมาให้ทางร้านได้ด้วยวิธีนี้
เมนูอาหารจำลองแต่ละเมนู ใช้ระยะเวลาในการทำราว 10 วัน หรือขึ้นอยู่กับความยากง่าย สำหรับราคาจำหน่ายชิ้นงานสำเร็จรูป และรับสั่งทำโมเดลอาหารจำลอง นิธินันท์บอกว่า เริ่มตั้งแต่ชิ้นละ 7 บาท ไปจนถึงชิ้นละ 10,000 บาท ขึ้นกับขนาด ความยากง่ายของชิ้นงานเป็นสำคัญ
ทุนเบื้องต้นธุรกิจนี้ อยู่ที่ประมาณ 5,000-10,000 บาท ขึ้นอยู่กับกลุ่มลูกค้า-รูปแบบสินค้าที่ทำ โดยถ้าหากต้องการทำชิ้นงานที่มีขนาดใหญ่และมีความละเอียดมาก ก็อาจจำเป็นต้องลงทุนในเรื่องของอุปกรณ์มากหน่อย โดยวัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ ก็เช่น คัตเตอร์, กรรไกร, เรซิ่นเหลว, ดินญี่ปุ่น, พู่กันสำหรับระบายสี หรือเครื่องพ่นแอร์บรัช กรณีทำงานชิ้นใหญ่-งานที่มีความละเอียดมาก
ส่วนทุนวัตถุดิบจะอยู่ที่ประมาณ 50% ของราคาขาย
“เครื่องมือที่ใช้ทำอาหารจำลองนี้ ก็เหมือนเครื่องมือที่ใช้ในงานปั้นหรือดอกไม้ประดิษฐ์จากดินญี่ปุ่น ซึ่งถ้าหากใครที่มีทักษะงานดอกไม้ประดิษฐ์จากดินก็สามารถหัดทำได้ไม่ยาก เพราะใช้ทักษะเดียวกัน เพียงแต่อาศัยจินตนาการมากกว่า โดยอาจใช้ภาชนะสำหรับใส่อาหารจริงเพื่อเพิ่มความสมจริงของชิ้นงานได้ด้วย”
ขั้นตอนการทำ เริ่มจากการขึ้นแบบ อาจใช้วิธีแกะแบบโดยใช้การหล่อจากอาหารหรือวัตถุดิบจริง เพื่อขึ้นรูปเป็น “โมล” หรือ “แบบพิมพ์” หรืออาจใช้วิธีปั้นขึ้นรูปจากดินญี่ปุ่น หรือแกะโฟมขึ้นรูปเพื่อเป็นส่วนประกอบต่าง ๆ ไว้ก่อนล่วงหน้า ก่อนจะประกอบเป็นชิ้นงานอีกที ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับขนาดและความถนัด
เมื่อได้แบบพิมพ์แล้ว ก็หล่อ เรซิ่นเพื่อขึ้นรูป ส่วนประกอบสำคัญของเมนูอาหารจำลองนั้น ๆ โดยอาจทำเป็นส่วนประกอบต่าง ๆ ให้เสร็จก่อน จากนั้นจึงค่อย ๆ นำมาบรรจงจัดวาง ซึ่งมีขั้นตอนคล้ายกับการทำอาหารจริงเช่นกัน ทำการลงสีส่วนประกอบต่าง ๆ ตามต้องการ โดยเน้นที่ความสมจริง แล้วทำการเทเรซิ่นเหลวปิดทับเพื่อเชื่อมส่วนประกอบต่าง ๆ ให้ติดกันเป็นเนื้อเดียว เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ
“งานโมเดลอาหารจำลองนี้ โอกาสที่ไอเดียจะตันแทบไม่มี เนื่องจากรูปแบบส่วนใหญ่ลูกค้าเป็นคนคิด เรามีหน้าที่ผลิตตามความต้องการของลูกค้า แต่ก็อาจจะให้คำแนะนำลูกค้าบางเรื่อง เกี่ยวกับองค์ประกอบ การให้สี การจัดวาง ซึ่งจุดที่สำคัญสำหรับคนทำอาชีพนี้คือต้องซื่อสัตย์ เพราะหากใช้วัสดุไม่ดี ขี้เหนียววัสดุในการทำก็อาจมีผลต่อหน้าตาสินค้าของลูกค้า” เจ้าของธุรกิจผลิต “อาหารจำลอง” กล่าวแนะนำทิ้งท้าย
สนใจงานของ นิธินันท์ ร้านกิ๊ฟท์เก๋อยู่ที่ เจ.เจ.มอลล์ ชั้น 2 ห้อง s302 โทร. 08-4940-7995 หรือดูในเว็บไซต์ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกอาชีพของคนช่างคิดช่างทำ ก๊อบปี้จากของจริงที่ถูกกฎหมาย และทำเงินงาม.
ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : รายงาน
ก๊อบปี้-ลอกเลียนแบบ กับหลาย ๆ อย่างผิดกฎหมาย แต่กับบางอย่างก็เป็นช่องทางทำเงินที่ถูกกฎหมาย แถมทำเงินได้น่าทึ่ง อย่างเช่นงาน “โมเดลอาหารจำลอง” ที่เป็น “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจ...
“นิธินันท์ ธนันศิริเชษฐ์” เจ้าของร้านกิ๊ฟท์เก๋ มีอาชีพรับบริการผลิตโมเดล “อาหารจำลอง” เจ้าตัวเล่าว่า จากการที่ร้านอาหารต่าง ๆ เกิดความต้องการโมเดลอาหารจำลอง เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการวางโชว์สินค้าที่เป็นของจริง ๆ ซึ่งระยะแรกจะเป็นการนำเข้าจากต่างประเทศเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เนื่องจากระยะหลังร้านอาหารไทยแท้ ๆ ก็ต้องการใช้ ขณะที่โมเดลนำเข้าส่วนใหญ่จะเป็นอาหารต่างประเทศ จึงคิดกันว่าในบ้านเราก็มีคนทำที่มีฝีมืออยู่ จึงคิดว่าน่าจะสามารถนำมาพัฒนาเป็นธุรกิจได้ จึงตัดสินใจลงมือทำอาชีพนี้
งานโมเดลอาหารจำลองนี้เริ่มแพร่หลายมาจากประเทศญี่ปุ่น ส่วนในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเป็นที่รู้จักจากวงการโฆษณาในรูปแบบของการทำ ม็อคอัพ (Mockup) ซึ่งเริ่มนิยมในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยระยะแรกยังไม่ค่อยมีกระแสตอบรับมากนัก เนื่องจากร้านค้าและลูกค้ายังมีทัศนคติแง่ลบกับอาหารจำลองอยู่ ต่อมาเมื่อเศรษฐกิจเริ่มไม่ดี ลูกค้าต่างก็พยายามลดต้นทุน ซึ่งอาหารที่วางโชว์หน้าร้านก็ถือเป็นต้นทุน จึงทำให้อาหารจำลองได้รับความนิยม เรียกว่าสวนกระแสสินค้าอื่น ๆ เลยทีเดียว
“หลังเศรษฐกิจขาลง ลูกค้าก็เพิ่มขึ้น เพราะลูกค้าต้องการตัดค่าใช้จ่ายในการใช้วัตถุดิบจริงหรืออาหารจริงมาโชว์ อีกเรื่องคืออายุการใช้งาน อาหารจริงที่นำมาวางโชว์จะมีระยะเวลาใช้งานไม่นาน ขณะที่อาหารจำลองสามารถเก็บได้ไม่ต่ำกว่า 5 ปี หากลูกค้าไม่เปลี่ยนเมนูไปเสียก่อน”
รูปแบบสินค้า นิธินันท์บอกว่า หลัก ๆ ก็จะแบ่งประเภทเป็น อาหารคาว (แบ่งออกเป็น อาหารไทย อาหารต่างประเทศ) อาหารหวาน และ เครื่องดื่ม นอกจากนี้ก็ยังมีโมเดลจำลองที่เป็นวัตถุดิบของร้านอาหาร อาทิโมเดลรูป ไก่, เป็ด, หมูย่าง, หมูกรอบ, หมูแดง, ผัก และผลไม้ โดยกลุ่มลูกค้ามีทั้งร้านอาหารในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงบริษัทโฆษณาที่ต้องการสินค้าจำลองสำหรับใช้ในการถ่ายทำโฆษณา
ช่องทางการจำหน่ายโมเดล “อาหารจำลอง” นอกจากเปิดหน้าร้านแล้ว ก็ยังมีการใช้ระบบไอที-อินเทอร์เน็ตเข้ามาช่วยด้วย โดยมีการจัดทำเว็บไซต์ www.giftkaeshopping.com สำหรับติดต่อกับลูกค้า โดยลูกค้าสามารถส่งภาพถ่ายที่ต้องการทำมาให้ทางร้านได้ด้วยวิธีนี้
เมนูอาหารจำลองแต่ละเมนู ใช้ระยะเวลาในการทำราว 10 วัน หรือขึ้นอยู่กับความยากง่าย สำหรับราคาจำหน่ายชิ้นงานสำเร็จรูป และรับสั่งทำโมเดลอาหารจำลอง นิธินันท์บอกว่า เริ่มตั้งแต่ชิ้นละ 7 บาท ไปจนถึงชิ้นละ 10,000 บาท ขึ้นกับขนาด ความยากง่ายของชิ้นงานเป็นสำคัญ
ทุนเบื้องต้นธุรกิจนี้ อยู่ที่ประมาณ 5,000-10,000 บาท ขึ้นอยู่กับกลุ่มลูกค้า-รูปแบบสินค้าที่ทำ โดยถ้าหากต้องการทำชิ้นงานที่มีขนาดใหญ่และมีความละเอียดมาก ก็อาจจำเป็นต้องลงทุนในเรื่องของอุปกรณ์มากหน่อย โดยวัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ ก็เช่น คัตเตอร์, กรรไกร, เรซิ่นเหลว, ดินญี่ปุ่น, พู่กันสำหรับระบายสี หรือเครื่องพ่นแอร์บรัช กรณีทำงานชิ้นใหญ่-งานที่มีความละเอียดมาก
ส่วนทุนวัตถุดิบจะอยู่ที่ประมาณ 50% ของราคาขาย
“เครื่องมือที่ใช้ทำอาหารจำลองนี้ ก็เหมือนเครื่องมือที่ใช้ในงานปั้นหรือดอกไม้ประดิษฐ์จากดินญี่ปุ่น ซึ่งถ้าหากใครที่มีทักษะงานดอกไม้ประดิษฐ์จากดินก็สามารถหัดทำได้ไม่ยาก เพราะใช้ทักษะเดียวกัน เพียงแต่อาศัยจินตนาการมากกว่า โดยอาจใช้ภาชนะสำหรับใส่อาหารจริงเพื่อเพิ่มความสมจริงของชิ้นงานได้ด้วย”
ขั้นตอนการทำ เริ่มจากการขึ้นแบบ อาจใช้วิธีแกะแบบโดยใช้การหล่อจากอาหารหรือวัตถุดิบจริง เพื่อขึ้นรูปเป็น “โมล” หรือ “แบบพิมพ์” หรืออาจใช้วิธีปั้นขึ้นรูปจากดินญี่ปุ่น หรือแกะโฟมขึ้นรูปเพื่อเป็นส่วนประกอบต่าง ๆ ไว้ก่อนล่วงหน้า ก่อนจะประกอบเป็นชิ้นงานอีกที ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับขนาดและความถนัด
เมื่อได้แบบพิมพ์แล้ว ก็หล่อ เรซิ่นเพื่อขึ้นรูป ส่วนประกอบสำคัญของเมนูอาหารจำลองนั้น ๆ โดยอาจทำเป็นส่วนประกอบต่าง ๆ ให้เสร็จก่อน จากนั้นจึงค่อย ๆ นำมาบรรจงจัดวาง ซึ่งมีขั้นตอนคล้ายกับการทำอาหารจริงเช่นกัน ทำการลงสีส่วนประกอบต่าง ๆ ตามต้องการ โดยเน้นที่ความสมจริง แล้วทำการเทเรซิ่นเหลวปิดทับเพื่อเชื่อมส่วนประกอบต่าง ๆ ให้ติดกันเป็นเนื้อเดียว เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ
“งานโมเดลอาหารจำลองนี้ โอกาสที่ไอเดียจะตันแทบไม่มี เนื่องจากรูปแบบส่วนใหญ่ลูกค้าเป็นคนคิด เรามีหน้าที่ผลิตตามความต้องการของลูกค้า แต่ก็อาจจะให้คำแนะนำลูกค้าบางเรื่อง เกี่ยวกับองค์ประกอบ การให้สี การจัดวาง ซึ่งจุดที่สำคัญสำหรับคนทำอาชีพนี้คือต้องซื่อสัตย์ เพราะหากใช้วัสดุไม่ดี ขี้เหนียววัสดุในการทำก็อาจมีผลต่อหน้าตาสินค้าของลูกค้า” เจ้าของธุรกิจผลิต “อาหารจำลอง” กล่าวแนะนำทิ้งท้าย
สนใจงานของ นิธินันท์ ร้านกิ๊ฟท์เก๋อยู่ที่ เจ.เจ.มอลล์ ชั้น 2 ห้อง s302 โทร. 08-4940-7995 หรือดูในเว็บไซต์ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกอาชีพของคนช่างคิดช่างทำ ก๊อบปี้จากของจริงที่ถูกกฎหมาย และทำเงินงาม.
ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : รายงาน
ที่มา เดลินิวส์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
ขายน้ำผลไม้ปั่น ขายได้ทุกที่
การเพาะเห็ดชนิดต่าง ๆ
งานผ่านเน็ต ปัจจุบันที่ได้รับนิยม
เทียนหอมกันยุง ทำง่ายได้ตังค์
Happy Cake มิติใหม่เบเกอรี่ ทำเองได้ ขายความสนุก
‘ทับทิมกรอบรวมมิตร’ ขายคล่อง-ทุนต่ำ-ทำไม่ยาก
‘จ๊อปลาทู’ พลิกแพลงได้เด่น-เป็นเงิน
‘กาแฟชัก’ เทไปเทมา ‘ท่าทำเงิน’
‘ยำทรงเครื่อง’ ‘เกสรบัวหลวง’
‘ขายปลาทูนึ่ง’ เงินงาม
‘ที่ติดตู้เย็น น่ารักๆ’ พลิกแพลงได้ขายคล่อง
"น้ำเต้าหู้ใบเตย" เขียว ๆ หอม ๆ ขายง่าย
‘ตู้(เรือ)ปลา’ งานขายไอเดียราคาดี
การเพาะเห็ดชนิดต่าง ๆ
งานผ่านเน็ต ปัจจุบันที่ได้รับนิยม
เทียนหอมกันยุง ทำง่ายได้ตังค์
Happy Cake มิติใหม่เบเกอรี่ ทำเองได้ ขายความสนุก
‘ทับทิมกรอบรวมมิตร’ ขายคล่อง-ทุนต่ำ-ทำไม่ยาก
‘จ๊อปลาทู’ พลิกแพลงได้เด่น-เป็นเงิน
‘กาแฟชัก’ เทไปเทมา ‘ท่าทำเงิน’
‘ยำทรงเครื่อง’ ‘เกสรบัวหลวง’
‘ขายปลาทูนึ่ง’ เงินงาม
‘ที่ติดตู้เย็น น่ารักๆ’ พลิกแพลงได้ขายคล่อง
"น้ำเต้าหู้ใบเตย" เขียว ๆ หอม ๆ ขายง่าย
‘ตู้(เรือ)ปลา’ งานขายไอเดียราคาดี
***........*******.--...
-"กระเพาะปลาน้ำแดง" "เพื่อสุขภาพ"!-------- 'ตุ๊กตาถุงเท้า' ไอเดียเก๋ไก๋-รายได้สวย
***.........-******--...
--‘ทองพับแคลเซียม’ เพิ่มคุณค่า-------------- ‘อาหารก๊อปปี้’ สร้างเลียนแบบ
-"กระเพาะปลาน้ำแดง" "เพื่อสุขภาพ"!-------- 'ตุ๊กตาถุงเท้า' ไอเดียเก๋ไก๋-รายได้สวย
***.........-******--...
--‘ทองพับแคลเซียม’ เพิ่มคุณค่า-------------- ‘อาหารก๊อปปี้’ สร้างเลียนแบบ