บทความที่ได้รับความนิยม

ขนมเปี๊ยะนมสด ไส้มะม่วง สร้างรายได้ยอดเยี่ยม


วันนี้ www.job-happy.blogspot.com จากขนมเปี๊ยะชาวจีนสูตรดั้งเดิม นำมาผสมผสานความเป็นไทยและความรู้สมัยใหม่ จนเป็นขนมเปี๊ยะร่วมสมัยแห่ง จ.ฉะเชิงเทรา มีทั้งขนมเปี๊ยะกุหลาบ ขนมเปี๊ยะคุณหนู ขนมเปี๊ยะนมสดที่มีความหอมหวาน นุ่มอร่อย อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ และ อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา เป็นแหล่งปลูกมะม่วงที่อร่อยของประเทศไทย จึงมีการนำมะม่วงขึ้นชื่อของท้องถิ่นมาพัฒนาทำขนมผสมผสานกันอย่างลงตัว จนเกิดเป็น “ขนมเปี๊ยะนมสดไส้มะม่วง” ซึ่งทีมงาน “ช่องทางทำกิน” ได้นำข้อมูลมาฝากกัน เพื่อเป็นแนวทาง เป็นไอเดีย สำหรับผู้ที่มองหาช่องทางอาชีพใหม่ ๆ

บุญมี ศรีสุข หรือที่ชาวบ้านตลาดบางคล้ารู้จักกันในนาม “ป้าบุญมี” เป็นเจ้าของสูตร “ขนมเปี๊ยะนมสดไส้มะม่วง” ที่อร่อย และเป็นเจ้าแรกของขนมเปี๊ยะสูตรไส้มะม่วง ป้าบุญมีเล่าว่า แรงบันดาลใจที่คิดทำเพราะที่บางคล้านั้นขึ้นชื่อเรื่องของมะม่วงมาก ชาวบ้านที่นี่ปลูกมะม่วงกันเยอะ จึงคิดอยากที่จะนำมะม่วงมาแปรรูปเป็นไส้ของขนมเปี๊ยะ เพราะยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน ถือว่าเป็นของที่แปลกและแตกต่างจากขนมเปี๊ยะที่มีอยู่ในตลาด

“ขนมเปี๊ยะนมสดของเรามีไส้หลากหลายมาก แต่ที่ยังไม่ได้ทำคือไส้มะม่วง ทั้งที่แปดริ้วเป็นแหล่งปลูกมะม่วงที่อร่อยที่สุดของประเทศ ก็มานั่งคิดว่าเอ๊ะ! ทำไมเราถึงไม่ทำไส้มะม่วงดูบ้างนะ ก็ลองทำดู โดยใช้ มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง ที่มีจุดเด่นเรื่องความอร่อยตามธรรมชาติ ทดลองทำอยู่นานเป็นเดือนจนได้รสชาติคงที่ ลองให้คนอื่นชิมดู ทุกคนก็พูดเหมือนกันว่า อร่อยมาก จึงทำออกขายจริงจัง และก็นำผลิตภัณฑ์ตัวนี้ส่งเข้าประกวดผลิต ภัณฑ์ระดับประเทศ ปี 2553 ปรากฏว่าได้รับรางวัลชนะเลิศผลิตภัณฑ์โอทอป ระดับ 5 ดาวด้วย” ป้าบุญมีกล่าว

และยังบอกอีกว่า ขนมเปี๊ยะนมสดที่ทำขาย ได้มีการปรับปรุงและพัฒนามาเรื่อย ๆ จนรสชาติถูกใจผู้บริโภคและเป็นที่ต้องการของตลาด จากไส้ถั่วเพียงอย่างเดียว ได้พัฒนาจนปัจจุบันมีถึง 10 กว่าไส้เพื่อเป็นตัวเลือกให้กับลูกค้า

อุปกรณ์หลักที่ใช้ในการทำขนมเปี๊ยะนมสดไส้มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง ก็เหมือนอุปกรณ์ทำขนมทั่วไป แต่ต้องมีเครื่องนวดแป้งและเตาอบขนมด้วย ส่วนเครื่องไม้เครื่องมืออื่น ๆ ถ้ามีอยู่ในครัวอยู่แล้วก็ไม่ต้องซื้อ หยิบยืมเอามาใช้ได้

ส่วนผสม/วัตถุดิบในการทำตัวขนมเปี๊ยะ ตามสูตรก็ประกอบด้วย...แป้งเค้ก 1,000 กรัม, ผงฟู 10 กรัม, โซดาไบคาร์บอเนต 10 กรัม, นมผง 20 กรัม, นมข้นหวาน 900 กรัม, ไข่แดง 2 ฟอง, เนยสด 50 กรัม, มาการีน 100 กรัม, น้ำเปล่า 150 กรัม และส่วนผสมในการทำไส้มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง ประกอบด้วย... มะม่วงดิบ, มะม่วงสุก, น้ำตาล และเกลือ

ขั้นตอนการทำ “ขนมเปี๊ยะนมสดไส้มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง” อันดับแรกเริ่มจากการทำไส้ขนมก่อน โดยการนำเอามะม่วงสุกและมะม่วงดิบมาล้างให้สะอาด ปอกเปลือกแล้วหั่นบาง ๆ เป็นชิ้นเล็ก ใส่เครื่องปั่นให้ละเอียด ก่อนจะนำไปใส่กระทะ ตามด้วยน้ำตาลทราย เกลือนิดหน่อย ทำการกวนด้วยไฟอ่อน กวนไปเรื่อย ๆ จนแห้งพอจับได้ ยกลงพักไว้ให้เย็นแล้วจับแบ่งเป็น
ก้อน ก้อนละ 10 กรัม เตรียมไว้

ต่อไปทำตัวขนมเปี๊ยะ เริ่มจากนำแป้งเค้ก ผงฟู โซดาไบคาร์บอเนต และนมผง มาร่อนรวมกันแล้วตั้งพักไว้ นำนมข้นหวาน ไข่แดง เนยสด มาการีน และน้ำเปล่า ใส่ลงรวมกันในอ่างผสม คนส่วนผสมดังกล่าวให้เข้ากันดี จากนั้น ค่อย ๆ เทผสมแป้งที่เตรียมไว้ลงไป ตะล่อมเบา ๆ นวดให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน แล้วตั้งพักไว้ประมาณ 10-15 นาที

นำส่วนผสมแป้งที่ได้มาแบ่งเป็นก้อน ก้อนละ 15 กรัม เสร็จแล้วหยิบแป้งทีละก้อนมาแผ่เป็นแผ่นกลม ๆ ใส่ไส้มะม่วงแล้วห่อให้มิด วางบนถาดที่ทา รองด้วยเนยขาวให้ทั่ว ก่อนจะนำเข้าอบที่อุณหภูมิ 300 องศาฯ อบประมาณ 20 นาที หรือจนกระทั่งสุก นำออกจากเตาอบมาพักให้เย็น แล้วบรรจุภาชนะตามที่ต้องการ เช่นบรรจุกล่อง กล่องละ 10 ชิ้น ขายราคา 55 บาท โดยต้นทุนวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ 60% ของราคาขาย

ขนมเปี๊ยะสูตรนี้เป็นที่ต้องการของตลาด เพราะรับประทานได้ทุกเพศทุกวัย รสชาติกลมกล่อม มีความหอมหวานของไส้มะม่วง และตัวแป้งก็มีความนุ่มอร่อย เหมาะสำหรับเป็นอาหารว่าง หรือเป็นของฝากในเทศกาลต่าง ๆ อีกทั้งการจำหน่ายสู่ท้องตลาดก็ไม่ยาก วางจำหน่ายได้ทั้งร้านของฝาก ตลาดสด หรือห้างสรรพสินค้าทั่วไป

สนใจผลิตภัณฑ์ของ บุญมี ศรีสุข ติดต่อได้ที่ โทร. 08-1928-8216 หรือ 0-3813-3174 หรือที่ร้านแม่บุญมี ขนมเปี๊ยะบางคล้า ตลาดน้ำบางคล้า เลขที่ 58/4 หมู่ 3 ถนนฉะเชิงเทรา-บางปะกง ต.บางกรูด อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา 2410 โทร. 0-3859-5662 ซึ่งตลาดน้ำบางคล้าเปิดจำหน่ายวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์.

เชาวลี ชุมขำ/จิตสุภา เรืองประเสริฐ เรื่อง-ภาพ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

'เพาะจิ้งหรีดขาย' ตลาดยังขยาย..เปิดกว้างได้ดี




















ปัจจุบัน “จิ้งหรีด” กลายเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงได้เป็นอย่างดี เพราะจิ้งหรีดกลายเป็นเมนูอาหารโปรตีน เมนูคั่วหรือทอด ที่มีผู้นิยมบริโภคกันแพร่หลายมากขึ้น ทำให้ตลาดมีความต้องการสูง ในขณะที่การหาจิ้งหรีดตามธรรมชาติทำได้ยาก จึงมีการ ’เพาะจิ้งหรีดขาย“ กลายเป็นอีกหนึ่ง “ช่องทางทำกิน”


“สมชาย แซ่ฉั่ว” เกษตรกร อ.เมือง จ.สระแก้ว หนึ่งในลูกค้า ธ.ก.ส.-ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เป็นอีกคนหนึ่งที่เลี้ยงจิ้งหรีดขายและสามารถสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวจากอาชีพนี้ได้เป็นอย่างดี โดยสมชายเล่าว่า เดิมเพาะกล้ายูคาฯขาย แต่หลังจากปี 2550 เกิดน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่ ทำให้สูญเสียเงินที่ลงทุนเพาะกล้ายูคาฯไป ล้านกว่าบาท จึงพยายามมองหาช่องทางทำกินใหม่ จนแฟนได้ดูทีวีเห็นเรื่องการเลี้ยงจิ้งหรีดขาย เห็นว่าเลี้ยงง่าย จำหน่ายได้เร็ว เพราะการเลี้ยงจิ้งหรีดตั้งแต่เป็นไข่จนเป็นตัวใช้เวลาราว 45 วันก็ขายได้แล้ว จึงเกิดความสนใจที่จะเลี้ยงจิ้งหรีดขาย

หลังจากสนใจที่จะเลี้ยงจิ้งหรีดขายเป็นอาชีพ ก็เริ่มศึกษาวิธีการเลี้ยงและปัญหาที่อาจจะเจอในการเลี้ยงจากเกษตรกรในพื้นที่ที่เลี้ยงอยู่ก่อน อีกทั้งยังศึกษาจากแหล่งอื่น ๆ และขอข้อมูลจากเกษตรอำเภอ เมื่อได้ความรู้และเห็นว่ามีความเป็นไปได้ จึงได้ลงทุน เริ่มจากซื้อไข่จิ้งหรีดมา 300 ขัน เมื่อเลี้ยงครบกำหนดและนำไปขายรุ่นแรกก็พบว่าตลาดยังมีความต้องการอีกมาก จึงได้ขยายพื้นที่ในการเลี้ยงเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นยังต่อยอดโดยการขยายพันธุ์เองอีกด้วย

การเลี้ยงจิ้งหรีดเริ่มจากการสร้างโรงเรือนก่อนเป็นอันดับแรก โรงเรือนนั้นใช้เป็นที่กันแดดกันฝน โดยการตั้งเสาขึ้นมา 4 เสา จากนั้นก็มุงหลังคา ซึ่งจะใช้วัสดุอะไรมุงก็ได้ ขั้นตอนต่อไปก็เป็นการสร้างบ่อเลี้ยง โดยใช้อิฐบล็อกก่อให้สูงจากพื้นประมาณ 60-80 ซม. หรือให้มีความสูงเท่ากับอิฐบล็อกประมาณ 3-4 ก้อน ส่วนความกว้างก็อยู่ที่ประมาณ 1-1.2 ม. ความยาวประมาณ 3.6-4.5 ม. พื้นบ่อนั้นทำการเทปูนให้เรียบร้อย เพราะถ้าเป็นพื้นดินจะมีปัญหาเรื่องมดเข้ากัดกินจิ้งหรีด และพื้นปูนยังเป็นการกันไม่ให้จิ้งหรีดขุดดินหนีได้อีกด้วย

ปากบ่อเลี้ยงให้ใช้ตาข่ายตาถี่มาคลุมบ่อให้มิดชิด เพื่อป้องกันจิ้งหรีดตัวอ่อนลอดออกไป และป้องกันมด จิ้งจก ตุ๊กแก มากินตัวอ่อนของจิ้งหรีดด้วย ส่วนขอบบ่อด้านในก็ต้องใช้เทปกาวติดให้รอบ เพราะเทปกาวจะมีผิวที่ลื่น จิ้งหรีดในบ่อปีนขึ้นมาก็จะลื่น ไม่สามารถปีนหนีออกจากบ่อเลี้ยงไปได้

ขนาดบ่อดังกล่าวนี้การดูแลนั้นใช้คนเพียงคนเดียวก็ดูแลได้ทั่วถึง และสามารถใส่ขันที่มีไข่จิ้งหรีดได้ประมาณ 80-100 ขัน ซึ่งต้นทุนการสร้างบ่อ 1 บ่อ ก็อยู่ที่ประมาณ 1,500 บาท...

เตรียมบ่อแล้ว หลังจากนั้นก็นำรังไข่ที่เป็นกระดาษมาทำการปูลงบนพื้นบ่อเลี้ยง สำหรับไว้เป็นที่หลบพักของจิ้งหรีด โดยปูให้เป็นแถว 2 แถว ด้านข้างของบ่อ เหลือพื้นที่ตรงส่วนกลางบ่อไว้สำหรับให้อาหาร

เมื่อทำการเตรียมบ่อเลี้ยงเรียบร้อยแล้วก็นำไข่จิ้งหรีดที่อยู่ในขันมาใส่ถุงพลาสติก มัดปากถุง เป็นการคงอุณหภูมิให้คงที่ เป็นการอบไข่ จากนั้นนำไปใส่ไว้ในบ่อ ประมาณ 7-8 วัน ไข่จะเริ่มฟัก โดยช่วงวันที่ 7 ต้องเปิดถุงดูว่าไข่ดิ้นหรือไม่ ถ้าเห็นว่าไข่ดิ้น จิ้งหรีดเริ่มจะฟักตัว ก็นำออกจากถุงพลาสติก แล้วจับขันให้ตั้งเอียงประมาณ 45 องศา เพราะเวลาจิ้งหรีดฟักตัวออกมาจะได้ดีดออกจากขันได้ พอจิ้งหรีดฟักเป็นตัวก็เริ่มให้อาหารได้

อาหารที่ให้นั้นจะให้เป็นอาหารไก่ที่เป็นเม็ด นำไปบดให้ละเอียดก่อนแล้วนำไปโรยไว้กลางบ่อ โดยจิ้งหรีดตัวอ่อนนั้นจะให้อาหารวันละครั้งหรือให้วันเว้นวัน ต้องดูว่าจิ้งหรีดนั้นกินอาหารหมดก่อนถึงจะให้ใหม่ เพราะถ้าจิ้งหรีดยังกินอาหารเก่าไม่หมด ให้อาหารใหม่ไป จิ้งหรีดจะไม่กินอาหารเก่า แล้วจะทำให้อาหารนั้นขึ้นรา ทำให้บ่อเลี้ยงสกปรก

ส่วนการให้น้ำ จะใช้ฟองน้ำซับน้ำแล้วนำไปวางในบ่อ หรือจะใช้ขวดพลาสติกใส่น้ำแล้วปิดด้วยผ้าให้แค่น้ำซึมออกมาผ่านผ้าก็ได้ แต่ต้องระวังอย่าให้เป็นหยดน้ำตรงปากขวด เพราะจิ้งหรีดจะไปติดอยู่ในหยดน้ำออกไม่ได้ ทำให้ตาย

พอจิ้งหรีดอายุประมาณ 20 วัน อาหารที่ให้ก็ไม่ต้องบด แต่ให้ผสมรำเข้าไปในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 เพื่อลดต้นทุน ในช่วงนี้ถ้ามีอาหารเสริมพวกฟักทอง ใบมัน ใบกล้วย ก็สามารถให้จิ้งหรีดกินได้ แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร

เลี้ยงไปได้ประมาณ 45-60 วัน ก็สามารถจับขายได้

สำหรับสมชายนั้นมีการต่อยอดการเลี้ยงจิ้งหรีดด้วยการเพาะไข่เอง โดยการเพาะไข่นั้นพอจิ้งหรีดอายุได้ประมาณ 38-42 วัน จิ้งหรีดจะเริ่มมีการผสมพันธุ์ ให้สังเกตจิ้งหรีดจะร้อง 4 ครั้ง พอร้องครั้งที่ 4 ก็ให้เตรียมขันที่ใส่ดินพรมน้ำให้พอชื้น ๆ หมาด ๆ บ่อที่เคยนำไข่ใส่ไป 100 ขัน ก็ให้ใส่ตามจำนวนเดิม หลังจากตั้งทิ้งไว้ 1 คืน ก็เก็บขันใส่ถุงพลาสติกมัดปาก แล้วนำไปใส่ไว้ในบ่อเลี้ยงใหม่ พักทิ้งไว้ 1 วัน ก็สามารถทำไข่ได้อีก 1 รอบ เท่านี้ก็จะได้จิ้งหรีดรุ่นใหม่อีก 2 รุ่น โดยไม่ต้องซื้อไข่มาเลี้ยงใหม่…

จิ้งหรีด 1 บ่อ จะได้จิ้งหรีดประมาณ 15-28 กก. ขายได้ กก.ละ 60-100 บาท ขึ้นอยู่กับปริมาณจิ้งหรีดที่ออกสู่ตลาดในช่วงนั้น ซึ่งสมชายบอกต่อว่า ในรอบ 45 วันถ้าสามารถขายจิ้งหรีดได้เงินรวมประมาณ 1,400 บาท จะเป็นค่าอาหารประมาณ 500 บาท หักแล้วก็จะมีรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ ประมาณ 900 บาทต่อบ่อ


สำหรับผู้ที่สนใจการ ’เพาะจิ้งหรีดขาย“ ของสมชาย พ่อค้าแม่ค้าที่ต้องการจะสั่งซื้อจิ้งหรีดจากสมชาย ติดต่อได้ที่ เลขที่ 26 หมู่ 7 บ้านด่าน ต.โคกปี่ฆ้อง อ.เมือง จ.สระเเก้ว เบอร์โทรศัพท์ 08-7562-5279.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : เรื่อง / ประชาสัมพันธ์ ธ.ก.ส.ภาพ

ข้อมูลความเป็นมาของ "หนังสือพิมพ์เดลินิวส์"

'ซองโน๊ตบุ๊ก' อีกไอเดียโครเชต์ประยุกต์กับธุรกิจไอที


อาชีพด้านงานประดิษฐ์หรืองานฝีมือนั้น นอกจากต้องพัฒนาเทคนิคและคุณภาพสินค้าอยู่ตลอดแล้ว การมองหาตลาด-มองหาโอกาสกับลูกค้าใหม่ ๆ ก็เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าหากมองเห็น-วิเคราะห์เป็น โอกาสที่จะขายสินค้าได้ก็มีมากขึ้น ตัวอย่างเช่นงานไอเดียที่ต่อยอดจากงานถักโครเชต์จนเป็น ’ซองใส่โน้ตบุ๊ก” เป็นอีกหนึ่ง ’ช่องทางทำกิน”

“นัฐกาญจน์ ซื่อตรง” เจ้าของงานไอเดีย เล่าว่า สนใจงานที่เกี่ยวกับการถักโครเชต์มานาน อาศัยใช้เวลาว่างฝึกหัดและหยิบจับทำมาตั้งแต่เด็ก โดยได้ความรู้จากคนในครอบครัว แต่ก็ทำเป็นเพียงงานอดิเรกและทำขึ้นเพื่อไว้สำหรับแจกจ่ายหรือมอบเป็นของขวัญของที่ระลึกให้คนรู้จักและเพื่อนฝูงเท่านั้น ต่อมามีเพื่อนและคนรู้จักมาติดต่อเพื่อขอให้ทำชิ้นงานขึ้น จึงมองว่าถ้าจะนำความรู้ความชำนาญตรงนี้มาต่อยอดผลิตขึ้นเป็นสินค้าก็น่าจะสร้างรายได้เสริมได้ จึงผลิตงานเพิ่ม และประกาศจำหน่ายผ่านทางเว็บไซต์ http://icer.weloveshopping.com ของตัวเอง ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้า โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสั่งทำชิ้นงานเป็นพิเศษ

“แรก ๆ จะประดิษฐ์เป็นตุ๊กตาการ์ตูน ต่อมามองว่าน่าจะดัดแปลงปรับให้สินค้านำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ จึงเริ่มทำสินค้าที่เป็นประเภทของใช้ ทั้งยังนำไปประดับตกแต่งได้เพิ่ม อาทิ ที่รองแก้ว ที่รองจาน ผ้าปูโต๊ะ และซองสำหรับใส่คอมพิวเตอร์พกพา หรือโน้ตบุ๊ก รวมถึงซองสำหรับใส่อุปกรณ์กระจุกกระจิกเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์” เจ้าของชิ้นงานกล่าว

สำหรับซองใส่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กนี้ เจ้าของชิ้นงานระบุว่า ได้รับการตอบรับค่อนข้างดี โดยเฉพาะกับกลุ่มลูกค้าผู้หญิง เพราะแปลกใหม่ และมีรูปแบบที่ออกแนวน่ารัก ไม่เหมือนกับซองที่ทำจากวัสดุสังเคราะห์ที่มีขายอยู่ตามท้องตลาด นอกจากนี้ลูกค้าส่วนใหญ่จะนิยมสั่งทำสินค้า โดยเน้นที่ “ปักชื่อ” หรือ “สัญลักษณ์” ตามคำสั่งซื้อของลูกค้า ซึ่งเป็นจุดขายที่แตกต่างออกไปจากซองใส่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กในตลาด โดยลูกค้าสามารถเลือกแบบ-เลือกสีได้ตามต้องการ

หลายคนอาจจะมองว่าสินค้างานถักโครเชต์ ตลาดแคบ และเป็นสินค้าไม่ทันสมัย เรื่องนี้นัฐกาญจน์ยืนยันว่าตลาดยังสามารถเติบโตต่อไปได้เรื่อย ๆ โดยสินค้าของเธอจะขายดีเป็นพิเศษในช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น เทศกาลปีใหม่, เทศกาลวาเลนไทน์ ส่วนที่หลายคนมองว่างานถักโครเชต์ค่อนข้างเชยนั้น เธอกล่าวว่าขึ้นอยู่กับไอเดียการออกแบบ และการเลือกใช้วัสดุมากกว่า เพราะถ้าออกแบบและเลือกใช้สีได้ดี เหมาะกับรสนิยมและความต้องการของลูกค้า หรือกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงมีการพัฒนาต่อยอดสินค้าให้หลากหลาย ก็สามารถที่จะเติบโตต่อไปได้เรื่อย ๆ อย่างแน่นอน

และนอกจากเราจะพยายามผลิตให้สินค้ามีหลากหลายชนิดแล้ว ในเรื่องของลาย หรือแพตเทิร์น ก็มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบไปตลอด เพื่อไม่ให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกจำเจ อย่างล่าสุดที่กำลังจะต่อ ยอดจากซองใส่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเพิ่มก็คือ ซองใส่ไอแพด ซึ่งก็เป็นการปรับเปลี่ยนตามสภาพความต้องการของตลาด

ทุนเบื้องต้นอาชีพ ใช้เงินลงทุนประมาณ 500 บาทขึ้นไป ส่วนทุนวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ 20% ของราคาขาย ที่ขึ้นกับขนาดและแบบของซองใส่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เริ่มที่ราคา 200-300 บาทต่อชิ้น ขณะที่วัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ ประกอบด้วย เข็มสำหรับถักไหมพรม (เข็มถักโครเชต์), ไหมพรมชนิดต่าง ๆ, กรรไกร และอุปกรณ์ตกแต่งชิ้นงานตามชอบ

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากออกแบบลวดลายที่ต้องการจะถัก รวมถึงการกะขนาดของชิ้นงานที่จะถักตามความต้องการ จากนั้นเริ่มทำการจับด้ายหรือเริ่มขึ้นชิ้นงาน โดยยกมือซ้าย หันด้านฝ่ามือเข้าตัวเอง จับด้ายมาเกี่ยวกับนิ้ว จากนั้นนำด้ายที่อยู่ทางด้านกลุ่มด้ายมาพันหนึ่งรอบที่นิ้วก้อย ใช้นิ้วโป้งและนิ้วกลางจับด้าย จากนั้นก็ทำตามขั้นตอนไปเรื่อย ๆ จนครบเต็มพื้นที่ของชิ้นงานที่ต้องการ แล้วทำการตกแต่งด้วยวัสดุตกแต่งที่ต้องการ อาทิ ริบบิ้น, ลูกปัด, กระดุมเม็ดต่าง ๆ เพื่อทำให้สินค้าดูน่าสนใจและมีรายละเอียด หรือมีลูกเล่นมากขึ้น

ข้อมูลความเป็นมาของ "หนังสือพิมพ์เดลินิวส์"

'ไอศกรีมมะม่วง' สร้างกำไรให้ ในฤดูร้อน

ไอศครีมมะม่วงแสนอร่อย

หนึ่งในของหวานทานเล่นที่ได้รับความนิยมยามที่อากาศร้อน หรือแม้แต่ช่วงที่ไม่ร้อน คือ “ไอศกรีม” ซึ่งไอศกรีมก็สามารถทำได้หลากหลายรสชาติ อย่างรายของ “สุพัตรา พัชรารัตน์” เจ้าของสวนมะม่วงน้ำดอกไม้ ที่ในช่วงนี้เป็นช่วงมะม่วงออกผลผลิต นอกจากขายผลสดแล้ว ก็ยังนำมะม่วงมาผลิตเป็น ’ไอศกรีมมะม่วงน้ำดอกไม้“ เป็นการนำผลผลิตมาแปรรูปจำหน่ายสร้างรายได้เสริม เป็นอีกหนึ่งรูปแบบ ’ช่องทางทำกิน“ ที่น่าพิจารณา..

สุพัตรา พัชรารัตน์ ซึ่งทำสวนมะม่วงอยู่ที่ อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ชื่อสวนมะม่วงน้องปลื้ม เล่าว่า ครอบครัวทำสวนมะม่วงมานาน ปลูกมะม่วงกว่า 100 ไร่ มีมะม่วงหลากหลายพันธุ์ ที่ปลูกมากที่สุดก็คือ “มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง” เป็นพันธุ์ที่ขึ้นชื่อและได้รับความนิยมที่สุด และในช่วงหน้ามะม่วงจะมีผลผลิตออกมามาก เร่งขายผลสดแล้วก็ยังมีเหลืออีกมาก ซึ่งก็จะต้องหาวิธีแปรรูปเพื่อไม่ให้มะม่วงเน่าเสียหายแบบเปล่าประโยชน์ โดยส่วนใหญ่ก็จะนำไปทำเป็นมะม่วงแช่อิ่ม มะม่วงดอง มะม่วงกวน และล่าสุดก็ได้นำมะม่วงมาแปรรูปเป็น “ไอศกรีมมะม่วงน้ำดอกไม้” ขายอีกด้วย

“เนื่องจากคุณย่านั้นทำไอศกรีมกะทิขายมานานหลาย 10 ปีแล้ว ปัจจุบันก็ยังทำขายอยู่ และในช่วงที่มะม่วงออกผลผลิตนั้นจะตรงกับช่วงหน้าร้อนพอดี เราจึงมีความคิดที่จะนำมาทำเป็นไอศกรีม เพราะยังไงคุณย่าก็มีสูตรการทำไอศกรีมอยู่แล้ว เราจึงไปให้คุณย่าทดลองทำไอศกรีมมะม่วง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ยาก คุณย่าทดลองทำอยู่ไม่นานก็ได้สูตรการทำไอศกรีมมะม่วง และก็ทำขายตั้งแต่ปี 2553 เรื่อยมา”

ไอศกรีมมะม่วง ใช้สูตรการทำคล้ายไอศกรีมกะทิ แต่จะเพิ่มเนื้อมะม่วงลงไปปั่นผสมเพื่อให้มีกลิ่นหอมและมีรสชาติของมะม่วงด้วย โดยเลือกใช้มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง เพราะมีรสชาติหวาน เนื้อแน่น ไอศกรีมมะม่วงที่ทำออกมานั้นจะไม่หวานมาก แต่จะต้องมีกลิ่นหอม และได้ความมันของกะทิแบบกลมกล่อมไอศกรีม 1 ถังจะมีอยู่ 3 ปั่น โดย 1 ปั่น เทียบได้ประมาณ 8 กิโลกรัม ซึ่งในการทำไอศกรีม 8 กิโลกรัมจะใช้มะม่วงน้ำดอกไม้ประมาณ 5 กิโลกรัม เนื่องจากมีมะม่วงเป็นต้นทุนอยู่แล้ว จึงใส่มะม่วงได้เต็มที่ ส่วนมะม่วงที่นำมาใช้ได้ จะเป็นมะม่วงที่สุกงอมกำลังพอดี ไม่สุกมากหรือน้อยเกินไปเพราะจะทำให้ไอศกรีมที่ทำออกมามีกลิ่นไม่หอมและไม่อร่อย

“สำหรับการทำไอศกรีมมะม่วงนั้นเราจะจำกัด ทำออกมาจำหน่ายเฉพาะในช่วงหน้ามะม่วงออกผลผลิตเท่านั้น เพราะเราต้องการคุณภาพของไอศกรีม เนื่องจากมะม่วงนอกฤดูนั้นเป็นมะม่วงที่จืด ไม่หอมไม่หวาน เวลานำมาทำเป็นไอศกรีมก็จะไม่อร่อย”

การทำไอศกรีม 8 กิโลกรัม มีส่วนประกอบในการทำไอศกรีมดังนี้... เนื้อมะม่วงน้ำดอกไม้สุกประมาณ 5 กิโลกรัม, น้ำตาลทราย 5 กิโลกรัม, น้ำกะทิ 10 กิโลกรัม, นมสด 3 กระป๋อง, ไวท์มอลต์ 2 ช้อนชา, กลิ่นวานิลลาเล็กน้อย

ขั้นตอนการทำ... เริ่มจากนำมะม่วงน้ำดอกไม้สุกมาทำการปอกเปลือก หั่นเอาแต่เนื้อ จากนั้นนำไปใส่ในเครื่องปั่น เทน้ำกะทิผสมลงไป ทำการปั่นให้เนื้อมะม่วงละเอียดเข้าเป็นเนื้อเดียวกับกะทิ พักทิ้งไว้

นำน้ำตาลทรายผสมกับไวท์มอลต์และนมสดส่วนหนึ่ง (แยกนมสดไว้อีกส่วนหนึ่ง) ใส่ลงในหม้อนำขึ้นตั้งไฟอ่อนค่อย ๆ เคี่ยวไปเรื่อย ๆ ตอนเคี่ยวนั้นก็ให้ค่อย ๆ เทนมสดส่วนที่แยกไว้ผสมลงไปเรื่อย ๆ จนหมด จากนั้นก็เคี่ยวต่อ โดยนำมะม่วงที่ปั่นผสมกับน้ำกะทิใส่ลงไปเคี่ยวให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน ใช้เวลาเคี่ยวประมาณ 5-7 นาที จนส่วนผสมที่เคี่ยวเดือดก็ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้ให้เย็น เติมกลิ่นวานิลลาลงไปเพื่อเพิ่มความหอม และเพื่อให้สีสันออกเหลืองนวลขึ้นมามากขึ้น แต่หากต้องการให้เป็นสีธรรมชาติก็ไม่ต้องใส่ก็ได้

หลังจากส่วนผสมที่เคี่ยวไว้เย็น ก็ให้ตักใส่ถุงนำไปแช่ตู้เย็น เพื่อให้เนื้อส่วนผสมเข้ากันและจับตัว ใช้เวลาแช่ประมาณ 4 ชั่วโมง หลังจากเนื้อส่วนผสมจับตัวแข็งเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว ก็ให้นำออกมาใส่ลงไปในเครื่องปั่นสำหรับทำไอศกรีม ทำการปั่นไปเรื่อย ๆ ประมาณ 30-40 นาที ก็จะได้ไอศกรีมที่มีเนื้อเนียนนุ่ม จากนั้นก็นำไปบรรจุไว้ในถังใส่ไอศกรีม เตรียมขาย

การตัก “ไอศกรีมมะม่วงน้ำดอกไม้” ขาย ก็จะใช้ถ้วยขนาด 260 กรัม ตักไอศกรีมใส่ประมาณ 4 ลูก โรยหน้าด้วยเนื้อมะม่วงน้ำดอกไม้สุกที่หั่นเป็นลูกเต๋า ขายในราคาถ้วยละประมาณ 20-25 บาท ซึ่งไอศกรีม 1 ถัง ใช้เงินทุนประมาณ 1,000 บาท ถ้าขายหมดก็จะได้ประมาณ 2,000 บาท

ไอศกรีมมะม่วงน้ำดอกไม้ของสุพัตราจะทำออกมาขายเฉพาะในช่วงฤดูมะม่วงเท่านั้น ซึ่งก็คือในช่วงนี้ ก็ตั้งแต่ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนพฤษภาคม หากเป็นช่วงนอกฤดูมะม่วงก็จะทำไอศกรีมกะทิมะพร้าวอ่อนขายแทน

สำหรับผู้ที่สนใจ ’ไอศกรีมมะม่วงน้ำดอกไม้“ ของสุพัตรา ในช่วงนี้แวะไปชิมกันได้ที่ตลาดน้ำบางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ขายวันเสาร์-อาทิตย์ หรือถ้าต้องการสั่งทำก็สามารถโทรฯ ไปสอบถามได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 08-1752-9684 โดยต้องสั่งล่วงหน้าก่อนประมาณ 2-3 วัน ซึ่งการทำ-การขายไอศกรีมผลไม้ชนิดนี้ ก็น่าสนใจไม่น้อยเหมือนกัน.

ข้อมูลความเป็นมาของ "หนังสือพิมพ์เดลินิวส์"

'ไผ่กระถางแก้ว ทำเงินยุคใหม่"

ทำง่าย-ขายได้ตลอดปี!

ความคิดสร้างสรรค์-การต่อยอด ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของทุก ๆ อาชีพ เพราะเป็นวิธีหนึ่งที่ใช้ได้ผลดีกับการเพิ่มจุดขายให้กับสินค้า จากสินค้าธรรมดาเมื่อนำมาประยุกต์ดัดแปลงก็สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างน่าสนใจ อย่างเช่นงาน ’ไผ่ในกระถางแก้ว“ ที่ทีม ’ช่องทางทำกิน“ มีข้อมูลมานำเสนอให้พิจารณากันในวันนี้...

“จักรพันธ์ วรรณพุฒ” เจ้าของไอเดีย เล่าว่า มีอาชีพขายต้นไม้จำพวกไม้ประดับอยู่ที่สวนจตุจักร โดยตอนแรกเน้นจำหน่ายต้นอโกลนีมา ต่อมากระแสความนิยมลดลง อีกทั้งตลาดต่างประเทศซึ่งเคยเป็นตลาดใหญ่ซบเซาลง จึงหันมาสนใจไม้ประดับอย่าง ’ไผ่กวนอิม“ ไม้ชื่อมงคลที่สวยงาม และสามารถดัดตกแต่งรูปทรงได้มากมายหลายแบบ โดยแรก ๆ
ก็จำหน่ายต้นไผ่ให้กับลูกค้าเฉย ๆ ต่อมามองว่าสามารถนำมาต่อยอดโดยเพิ่มลูกเล่นและการประดับตกแต่งเข้าไป น่าจะทำให้สินค้าขายได้ราคาสูงขึ้น จึงมองไปที่การจัดวางไผ่กวนอิม ลงภาชนะเครื่องแก้ว เพราะรูปทรงสวยงาม แปลกตา มีหลากหลายแบบ จึงทดลองจำหน่ายที่หน้าร้าน ปรากฏว่าลูกค้าให้การตอบรับ จึงต่อยอดโดยใช้หินสีมาเพิ่มสีสันเข้าไปอีก

“ที่เลือกทำต้นไม้ในกระถางแก้ว เพราะอยากทำอะไรที่แปลกใหม่ออกไปจากตลาดที่มีอยู่ โดยต้นไผ่กวนอิมแต่ละต้นจะดีไซน์และตกแต่งไม่เหมือนกัน แต่หลัก ๆ จะเน้นความน่ารักสวยงาม เช่นปลูกต้นไผ่ให้เป็นแนวกำแพง ส่วนที่เลือกใช้หินและกรวดสีนั้น ตอนแรกคิดจะใช้ดินวิทยาศาสตร์เหมือนกัน แต่ปรากฏว่าต้นไผ่มีอายุสั้น เพราะรากไม่มีที่ยึดเกาะ จึงเปลี่ยนมาใช้หินและกรวดสีแทน เพื่อให้รากไผ่มีที่ยึดเกาะ ทำให้ลำต้นแข็งแรง และมีอายุยาวนานขึ้น” เจ้าของงานกล่าว

สำหรับเหตุที่เลือกไผ่กวนอิมมาใช้เป็นพืชหลักในการผลิตชิ้นงาน จักรพันธ์บอกว่าไผ่กวนอิมอยู่ได้นานกว่าไม้ชนิดอื่น ถ้าหมั่นบำรุงรักษา รดน้ำไปเรื่อย ๆ ก็จะอยู่ได้ยาวนาน ลำต้นก็จะสูงใหญ่ และแตกยอดออกมาเรื่อย ๆ อีกทั้งยังสามารถนำมาดัดหรือเปลี่ยนรูปทรงได้หลากหลาย จึงไม่ค่อยมีปัญหากับการจัดวางลงในภาชนะแก้วหลากหลายรูปทรง

แต่ที่สำคัญ และถือว่าเป็นจุดเด่นก็คือ เรื่อง ’ชื่อเป็นมงคล“ ซึ่งเหมาะกับการให้เป็นของขวัญในโอกาสต่าง ๆ เช่น วันเปิดร้านค้า ขึ้นบ้านใหม่ วันเกิด วันขึ้นปีใหม่ เทศกาลตรุษจีน รวมถึงมอบเป็นของที่ระลึกในโอกาสสำคัญ ๆ ต่าง ๆ จึงสามารถทำขายได้ตลอดทั้งปี โดยไผ่นั้นราคาในตลาดจะขายส่งอยู่ที่ประมาณ 12-18 บาท ต่อหนึ่งกอ แต่ถ้าซื้อปลีกราคาจะสูงขึ้น อยู่ที่ประมาณต้นละ 25-30 บาท สำหรับภาชนะกระถางและขวดแก้วที่นำมาใช้นั้น ราคาอยู่ที่ประมาณ 15 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับขนาดและรูปทรง ส่วนหินและกรวดสีราคาอยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 20 บาทขึ้นไป
“ไผ่ที่เหมาะจะนำมาปลูก สามารถใช้ได้ทั้งขนาดลำต้นอ้วนและลำต้นผอม ตามแต่ชอบ ซึ่งชนิดของไผ่กวนอิมที่ตลาดนิยมจะประกอบไปด้วย ไผ่เงิน ซึ่งจะมีสีเขียวอ่อนมากถึงขาว ลำต้นจะเล็ก ไผ่หยก ลำต้นจะมีสีเขียวเข้ม และ ไผ่ทอง ลำต้นจะมีสีเหลืองนวล ๆ หรือออกเขียวอ่อน ๆ”

นอกจากไผ่กวนอิมแล้ว การเลือกภาชนะจัดวางก็ถือว่าสำคัญ ต้องเน้นรูปแบบสวยงาม สามารถเลือกใช้ได้ทั้งขนาดใหญ่และเล็ก ในส่วนของหินและกรวดสี ก็ต้องออกแบบให้เหมาะสมกับภาชนะและการจัดวาง โดยในส่วนหินและกรวดสีนี้ จะมีหลากหลายสีสันเพื่อให้ลูกค้าเลือก เพราะบางคนอาจต้องการสีที่ถูกต้องหรือเหมาะกับโฉลกตนเอง

ทุนเบื้องต้น ใช้ประมาณ 5,000 บาทในการลงทุนครั้งแรก ส่วนทุนวัตถุดิบ อยู่ที่ประมาณ 40% จากราคาขาย ซึ่งเมื่อจัดเป็นชุดแล้ว ราคาขายเริ่มต้นที่ 69 บาท จนถึง 500 บาท ขึ้นกับขนาดของต้นไผ่และภาชนะแก้วที่ใช้
วัสดุอุปกรณ์การทำหลัก ๆ ประกอบด้วย ไผ่กวนอิม, กระถางและขวดแก้ว, หินและกรวดสี อุปกรณ์ทั้งหมดหาซื้อได้ไม่ยาก มีจำหน่ายตามร้านขายของตกแต่งสวนทั่วไป

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากนำไผ่กวนอิมที่จะนำมาจัด มาแช่น้ำจนกว่าต้นไผ่จะแทงรากออกมา เหตุที่ต้องนำไปแช่น้ำเพื่อให้ต้นไผ่แทงรากเพิ่ม เพราะจะทำให้ได้ต้นไผ่ที่แข็งแรง และมีรูปทรงที่คงทนและตั้งต้นได้ดี เมื่อได้ต้นไผ่มาแล้วก็นำมาจัดวางลงในภาชนะแก้ว จากนั้นนำหินหรือกรวดสีที่เตรียมไว้ค่อย ๆ เทใส่ลงไป ซึ่งขั้นตอนนี้ค่อนข้างยาก ใช้เวลา และต้องพิถี พิถันเป็นพิเศษ เพราะต้องจัดเรียงให้หินหรือกรวดสีอยู่ในแนวเดียวกัน โดยขั้นตอนนี้ขึ้นอยู่กับจินตนาการ

“จากราคาขายที่ไม่แพงมาก ประกอบกับรูปแบบที่ดูสวยงาม ทำให้มีลูกค้าหลายกลุ่ม เหมาะสำหรับเป็นของฝาก ของขวัญในเทศกาลต่าง ๆ หรือจะนำไปตั้งโชว์ประดับในที่ทำงานหรือที่บ้านก็ได้ ต้นไม้ในกระถางแก้วทำได้ไม่ยาก หลาย ๆ คนสามารถทำเป็นงานอดิเรกได้ในยามว่าง” จักรพันธ์ เจ้าของผลงาน กล่าว

สนใจชิ้นงานของจักรพันธ์ ไปดูได้ที่ ร้านอุษาไม้ประดับ โครงการ 15 ตลาดนัดสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสบดี โทร.08-1900-2706 หรืออีเมล jackyja71@gmail.com ซึ่งนี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่ง “ช่องทางทำกิน” ที่ทำไม่ยาก.

ศิริโรจน์ ศิริแพทย์/จิตสุภา เรืองประเสริฐ : เรื่อง-ภาพ
ข้อมูลความเป็นมาของ "หนังสือพิมพ์เดลินิวส์"

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม